นาฬิกา

ปฏิทิน

ลูกศร

cursor

ผู้ติดตาม

friend

อวสานนักประดิษฐ์ผู้สิ้นชีพเพราะผลงานตนเอง

โดยทั่วไปแล้ว โลกมักจารึกนามของนักประดิษฐ์ผู้ประสบความสำเร็จจากการสร้าง สิ่งประดิษฐ์ที่มีคุณูปการแก่โลก แต่กระนั้น ประวัติศาสตร์ก็ยังมี พื้นที่ให้นักประดิษฐ์ บางท่านรวมถึงนักวิทยาศาสตร์ที่โลก ยกย่องเพื่อให้เราร่วมกันจดจำ และรำลึก ถึงท่านเหล่านั้นในอีก มุมหนึ่ง นั่นก็คือในฐานะที่ผลงานการประดิษฐ์คิดค้นปลิดชีวิตของพวกเขา




ในโลกนี้มีนักประดิษฐ์มากมายที่ทำงานไม่สำเร็จ แม้บางคนจะทำงานสำเร็จ แต่ก็ต้องเสียชีวิตไปเนื่องจากสิ่งที่ตนคิดค้นขึ้น อาจจะเป็นโดยอุบัติเหตุ โดยความบังเอิญ โดยความไม่รู้ถึงโทษภัย หรือโดยความตั้งใจเดิมพันด้วยชีวิตก็ตาม แต่ พวกเขาจากเราไปแล้ว ทิ้งชื่อเสียงเรียงนาม และผลงานให้คนรุ่นหลังได้เรียนรู้และต่อยอด มาดูกันว่าบุคคลเหล่านี้เป็นใครกันบ้าง และมีผลงานอะไร ที่นำไปสู่การสิ้นชีพของพวกเขา



เฮนรี วินสแตนลีย์

ชายผู้สร้างประภาคารท่านนี้ถือเป็น “บุคคลฟ้าประทานแห่งศตวรรษที่ 17” ซึ่งเป็นยุคแห่งการประดิษฐ์ เป็นยุคเริ่มต้นของวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ ซึ่งเป็นยุคเดียวกับนิวตันและเครื่องจักรไอน้ำ



เฮนรี วินสแตนลีย์ เกิดที่แซฟฟรอน วอลเดน, เอสเซ็ก เข้ารับศีลจุ่มเมื่อวันที่ 31 มีนาคม ค.ศ. 1644 บิดาของเขาเป็นผู้ดูแลที่ดินให้เอิร์ลแห่งซัฟโฟล์ก เจ้าของอัดลีย์เอนด์ เฮาส์ ใน ค.ศ. 1652 เฮนรีซึ่งอยู่ในวัยเด็กก็ทำงานที่อัดลีย์เอนด์ในตำแหน่งคนเฝ้าประตู จากนั้นก็ได้เป็นเลขานุการ

วินสแตนลีย์มีความสนใจในวิชาแกะสลักหลังจากเยือนยุโรปในช่วง ค.ศ.1669-1674 หลังจากนั้นสองปีคือ ค.ศ. 1676 เขาก็ลงมือออกแบบและทำงานแกะสลักงานสถาปัตยกรรมที่ อัดลีย์เอนด์ ซึ่งใช้เวลานานถึงสิบปีกว่าจะเสร็จสมบูรณ์ และสถานที่นั้นก็กลายเป็นคฤหาสน์ขุนนางหลังแรกๆ ที่แกะสลักอย่างสวยงาม นอกจากนี้ เขายังออกแบบไพ่ ซึ่งปรากฏว่าได้รับความนิยม ระหว่างนี้วินสแตนลีย์ก็ยังคงทำงานเสมียนที่ อัดลีย์เอนด์ โดยรับช่วงงานมาจากพ่อของเขาจนถึง ค.ศ. 1701



วินสแตนลีย์นั้นมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในเอสเซ็ก เนื่องจากเขาประดิษฐ์อุปกรณ์ทั้งแบบกลและและไฮดรอลิกได้อย่างน่าทึ่ง เขาสร้างบ้านไว้ที่ลิตเติลบิวรีซึ่งมีแต่กลไกแปลกประหลาดที่ออกแบบและก่อสร้างเอง บ้านหลังนี้กลายเป็น “บ้านมหัศจรรย์แห่งเอสเซ็ก” ซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวอันสำคัญ ในช่วงทศวรรษ 1690 เขาเปิดโรงมหรสพธาราคณิตศาสตร์ (Mathematical Water Theatre) ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในนาม “การแสดงน้ำของ วินสแตนลีย์แห่งพิคะดีลดี ลอนดอน” นักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวชมที่นี่จะได้ชมการแสดงดอกไม้ไฟ น้ำพุที่พุ่งไม่หยุด มนุษย์กล กลไกฉลาด รวมทั้ง “ถังมหัศจรรย์” ที่คอยเสิร์ฟเครื่องดื่มร้อนเย็นให้แก่ผู้มาเยี่ยมชม บ้านหลังนี้สร้างรายได้อย่างงามให้แก่ วินสแตนลีย์



เมื่อวินสแตนลีย์ร่ำรวยขึ้น ก็ลงทุนในกิจการเรือสินค้า เขาเป็นเจ้าของเรือสินค้าถึงห้าลำ แต่เรือสินค้าสองลำก็ต้องอับปางลงเมื่อชนกันหินโสโครกเอดดีสโตน ใกล้กับพลีมัท ก่อนหน้านี้ก็มีเรือสินค้าล่มเป็นประจำโดยที่ไม่มีใครคิดทำอะไรให้ดีขึ้น ทำให้วินสแตนลีย์ตัดสินใจที่จะสร้างประภาคารขึ้นที่นั่นด้วยตัวของเขาเอง โดยได้รับการสนับสนุนจากเพื่อนร่วมอาชีพ



การก่อสร้างเริ่มต้นในวันที่ 14 กรกฎาคม ค.ศ. 1696 เป็นหอคอยรูปแปดเหลี่ยมใช้หินแกรนิตจากมณฑลคอร์นวอลล์และไม้ มีการประดับตกแต่งเป็นศิลปะแบบโรโคโค ซึ่งเต็มไปด้วยสีสันและมีความประณีต และมีห้องกระโจม ไฟ ซึ่งจุดเทียนให้แสงสว่าง ประ--ภาคารนี้ยึดกับก้อนหินด้วยเสาค้ำเหล็กขนาดใหญ่จำนวน 12 ต้น เดือนมิถุนายนปีถัดมา เกิดสงครามระหว่างอังกฤษและฝรั่งเศส ทหารเรือต้องส่งกำลังมาคุ้มครองการก่อสร้าง แต่สุดท้ายก็ถูกทหารฝรั่งเศสโจมตี และวินสแตนลีย์ถูกจับตัวไป แต่พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศสมีพระบรมราชโองการให้ปล่อยตัววินสแตนลีย์ทันที พร้อมกับรับสั่งว่า “ประเทศฝรั่งเศสทำสงครามกับอังกฤษ ไม่ได้ทำสงครามกับ มนุษยชาติ” จากนั้นวินสแตนลีย์ก็ทำงานก่อสร้างประภาคารของเขาต่อไปจนกระทั่งแล้วเสร็จในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1698



หลังจากก่อสร้างเสร็จก็เข้าสู่ฤดูหนาวที่ทำให้ตัวประภาคารเสียหาย แสงจากประภาคารก็ขมุกขมัว จึงต้องมี การบูรณะกันใหม่ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ โดยขยายประภาคารให้ใหญ่ขึ้น และมีการประดับตกแต่งมากขึ้น หลังจากเสร็จสมบูรณ์ และใช้งานในช่วงห้าปี ก็ปรากฏว่าไม่มีเรือสินค้าลำใดต้องอับปางลงที่บริเวณแนวหินโสโครกเอดดีสโตนอีกเลย



วินสแตนลีย์ได้รับชื่อเสียงและความเชื่อถือเป็นอย่างมาก เขามีความปรารถนาจะอยู่ในประภาคารในระหว่างที่เกิดพายุใหญ่ และในที่สุดความปรารถนาของเขาก็เป็นจริงในคืนวันที่ 27 พฤศจิกายน ค.ศ. 1703 เกิดพายุใหญ่ซึ่งคร่าชีวิตผู้คนไปกว่า 8,000 คน รวมทั้งสร้างความเสียหายต่างๆ วินสแตนลีย์ไป ที่ประภาคารเพื่อทำการซ่อมแซม พายุพัดจนประภาคารพัง รวมถึงจบชีวิตของผู้สร้างมันขึ้น มีการสร้างประภาคารขึ้นใหม่แทนที่ประภาคารเก่าที่พัง หลังแรกเป็นไม้ ต่อมาเป็นคอนกรีต ปัจจุบันประภาคาร เอดดีสโตน เป็นประภาคารหลังที่ห้า ลักษณะหอคอยดูขึงขัง สร้างจากคอนกรีต ทาสี เหลืองอ่อน สร้างเสร็จเมื่อ ค.ศ. 1882 ความสูง 180 ฟุตเหนือระดับน้ำทะเล



คาวเพอร์ ฟิปปส์ โคลส์

กัปตันเรือแห่งราชนาวีอังกฤษและนักประดิษฐ์ป้อมปืนติดเรือรบ ซึ่งจบชีวิตลงพร้อมกับเรือรบติดป้อมปืนที่เขาออกแบบ

คาวเพอร์ ฟิปปส์ โคลส์ (ค.ศ. 1819-7 กันยายน ค.ศ. 1870) เข้าทำงานในราชนาวีอังกฤษตั้งแต่อายุ 11 ปี วันที่ 9 มกราคม ค.ศ. 1846 เมื่ออายุ 27 ปี ก็ได้เลื่อนยศเป็นนายเรือโท โคลส์มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักเนื่องจากการประดิษฐ์ เรือปืนที่ออกแบบใหม่ให้มีป้อมปืนที่หมุนได้ และมีชัยต่อข้าศึกใน สงครามไครเมีย ในวันที่ 13 พฤศจิกายน ค.ศ.1854 ก็ได้รับการเลื่อนยศเป็นนาวาโท



ใน ค.ศ. 1856 โคลส์ได้เป็นกัปตันเรือ รวมถึงออกแบบเรือที่มีป้อมปืนพร้อมทั้งจดสิทธิบัตรการออกแบบไว้ด้วย ซึ่ง กระทรวงกองทัพเรือของอังกฤษก็เห็นดีเกี่ยวกับการประดิษฐ์ป้อมปืนบนเรือ แต่ไม่ยอมรับการออกแบบเรือของเขา เนื่องจากเห็นว่าไม่สามารถทำได้จริง ในที่สุดโคลส์ก็ได้รับอนุญาตให้ออกแบบเฉพาะป้อมปืนบนเรือเท่านั้น



แต่ในที่สุดก็มีการสร้างเรือ HMS Caption ที่โคลส์เป็นผู้ดูแลโครงการ ซึ่งออกแบบเรือให้ตัวเรือโผล่พ้นน้ำเพียง 2.4 เมตร แต่การออกแบบที่ผิดพลาดทำให้ลำเรือจมลงไปจาก เดิมอีก 35 เซนติเมตร ตัวเรือมีใบเรือชุดใหญ่และเสาเรือสูงที่สุด เมื่อสร้างเสร็จในเดือนมกราคม ค.ศ. 1870 การลองแล่นเรือครั้งแรกประสบความสำเร็จ เดือนสิงหาคมปีเดียวกันมีการแล่นเรืออีกครั้งโดยมีโคลส์อยู่บนเรือด้วย ในเวลานั้นสภาพอากาศไม่ค่อยดี เรือต้องเจอกับพายุลมแรงที่คาดเดาไม่ได้ นั่นเป็นตัวบ่งชี้ว่า ตัวเรืออาจพลิกคว่ำได้ง่าย หากถูกลมพัดเอียงไปเพียงไม่กี่องศา เนื่องจากป้อมปืนที่ออกแบบติดตั้งบนเรือ ทำให้จุดศูนย์กลางมวลของเรืออยู่ในตำแหน่งที่สูง ด้วยเหตุผลนี้เองที่ทำให้เรือล่ม เมื่อวันที่ 6 กันยายน ค.ศ. 1870 ซึ่งโคลส์และลูกเรือก็จบชีวิตลงพร้อมกัน



อเล็กซานเดอร์ บ็อกดานอฟ

นักคิด นักปฏิวัติทางการเมือง ความคิดของเขาเป็นต้นธารความคิดของวิชาไซเบอร์เนติกส์ แต่สุดท้ายก็จบชีวิตลงเนื่องจากการทดลองถ่ายเลือด

อเล็กซานเดอร์ บ็อกดานอฟ นามเดิม Alyaksandr Malinouski เกิดเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม (นับแบบเดิมจะตรงกับวันที่ 11 มีนาคม) ค.ศ. 1873 ที่เมืองหลวงของจักรวรรดิ์ รัสเซีย (ปัจจุบันคือเบลารุส) บ็อกดานอฟมีความเก่งกาจและสนใจในหลายเรื่อง ช่วงต้นของชีวิตบุตรชายของครูในชนบท คนนี้ศึกษาวิชาแพทยศาสตร์และจิตเวชศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยมอสโก ขณะเรียนแพทย์ก็ถูกจับหลายครั้งเนื่องจากเข้าร่วมกิจกรรมทางการเมือง ช่วงที่อยู่ในเรือนจำก็ศึกษาเรื่องทางปรัชญาการเมืองและเศรษฐศาสตร์ (การต่อสู้ทางการเมืองเป็นเหตุให้เขาต้องใช้ชื่อปลอมหลายชื่อ รวมทั้งชื่อ บ็อกดานอฟ ซึ่งหลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครองในรัสเซีย ก็ใช้ชื่อนี้มาตลอด) บ็อกดานอฟเข้าร่วมในคณะบอลเชวิกเมื่อ ค.ศ. 1903 (พ.ศ. 2466) ซึ่งภายในหกปี เขาก็มีความสำคัญอันดับสองรองจาก เลนิน มีผลงานตีพิมพ์ด้านปรัชญาลัทธิมาร์กซ ซึ่งมีอิทธิพลต่อนักทฤษฎีลัทธิมาร์กซในยุโรปหลายท่าน



ต่อมาเกิดความขัดแย้งระหว่างบ็อกดานอฟกับเลนินจนถึงขั้นที่ไม่สามารถร่วมงานได้อีกต่อไป เขาลี้ภัยการเมืองไปอยู่ยุโรป ก่อนจะกลับเข้ารัสเซียอีกครั้งใน ค.ศ. 1914 (พ.ศ. 2457) ซึ่งระหว่างที่อยู่ยุโรปก็มีผลงานศึกษาเปรียบเทียบระหว่างเศรษฐ-- ศาสตร์และกำลังทหารของชาติยุโรป ซึ่งถือเป็นการบูรณาการเอาการวิเคราะห์ระบบเข้ามาใช้เป็นครั้งแรก ช่วงระหว่าง ค.ศ. 1913-22 (พ.ศ. 2456-65) บ็อกดานอฟหมกมุ่นอยู่กับการเขียนแนวคิด Tectology : Universal Organization Science ซึ่งเกี่ยวกับแนวคิดพื้นฐานต่างๆ ของการวิเคราะห์ระบบ ซึ่งต่อมาเป็นต้นธารความคิดของวิชาไซเบอร์เนติกส์ ช่วง ค.ศ. 1918-20 (พ.ศ. 2461-63) หลังจากเป็นศาสตราจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยมอสโก เขาก็ยังคงบรรยายและผลิตงานเขียนด้านการเมือง เพื่อให้เกิดวัฒนธรรมของชนชั้นคนงานอย่างแท้ ซึ่งทำให้เขาต้องถูกปลดออกจากทุกตำแหน่ง



นอกจากเป็น นักคิดและนักเคลื่อนไหวทางการเมืองแล้ว บ็อกดานอฟในฐานะแพทย์ก็ยังคงสนใจศึกษาสิ่งใหม่ในทางการแพทย์ด้วย และนี่คือสาเหตุที่ทำให้เขาต้องจบชีวิตลง



ค.ศ. 1924 (พ.ศ. 2467) บ็อกดานอฟ เริ่มทดลองถ่ายเลือด เขามองว่าการถ่ายเลือดไม่ใช่แค่การรักษาโรคเท่านั้น แต่ยังเป็นตัวกระตุ้นเลือดใหม่จะสร้างความอ่อนเยาว์ให้ร่างกาย ในการนี้มี มาเรีย ยูเลียโนวา น้องสาวของเลนินเป็นหนึ่งในอาสาสมัครที่เข้ารับการทดลองถ่ายเลือดด้วย รวมทั้งบ็อกดานอฟก็ทดลองกับตนเอง หลังจากถ่ายเลือดได้ 11 ครั้ง เขาแสดงความคิดเห็นในเชิงพึงพอใจว่า สายตาของเขาดีขึ้น อาการศีรษะล้านก็ชะลอลง อาการอื่นๆ ก็เป็นไปในทางที่ดี เลโอนิด กราซิม หนึ่งในคณะทำงานเล่าไว้ว่า “บ็อกดานอฟดูเป็นหนุ่มขึ้น 7-10 ปี” ในช่วง ค.ศ. 1925 (พ.ศ. 2468-9) บ็อกดานอฟก่อตั้งสถาบันโลหิตวิทยาและการถ่ายเลือดขึ้น ซึ่งต่อมาภายหลังก็เปลี่ยนชื่อตามนามของเขา แต่ในเดือนเมษายน ค.ศ. 1928 (พ.ศ. 2471) บ็อกดานอฟก็เสียชีวิตหลังจากการทดลองถ่ายเลือด โดยได้รับเลือดจากนักเรียนคนหนึ่งที่มีเชื้อมาลาเรียและวัณโรค นัก วิชาการบางท่านให้ความเห็นว่า อาจเป็นการตั้งใจฆ่าตัวตายของบ็อกดานอฟเอง ส่วนความเห็นจากคนอื่นๆ ระบุว่า อาจเป็นไปได้ว่าเกิดภาวะเลือดเข้ากันไม่ได้ ซึ่งในสมัยนั้นความรู้ทาง ด้านนี้เกี่ยวกับเลือดยังมีไม่มากนัก



มารี กูรี



 



ยอดนักวิทยาศาสตร์หญิงท่านนี้จากไปเพราะภัยกัมมันตรังสีที่เธอพากเพียรศึกษา


มาดามกูรี (7 พฤศจิกายน ค.ศ. 1867-4 กรกฎาคม ค.ศ. 1934) เป็นนักฟิสิกส์และนักเคมีชาวโปแลนด์ ซึ่งเปลี่ยนสัญชาติเป็นฝรั่งเศส เธอเป็นผู้บุกเบิกในสาขาวิชากัมมันตรังสี และเป็นบุคคลแรกที่ได้รับรางวัลโนเบลถึงสองครั้งในสาขาฟิสิกส์และสาขาเคมีตามลำดับ และถือเป็นผู้หญิงคนแรกที่ได้ตำแหน่งศาสตราจารย์ประจำมหาวิทยาลัยปารีสอีกด้วย แต่ในท้ายที่สุดก็จบชีวิตลงจากผลงานการค้นพบของเธอนั่นเอง



มารี สโกโดวสกา กูรี เกิดที่กรุงวอร์ซอ ประเทศโปแลนด์ ในวัยเด็กได้รับการศึกษาจากโรงเรียนในท้องถิ่น และได้รับ การฝึกฝนทางด้านวิทยาศาสตร์จากบิดา จนกระทั่งอายุ 24 ปี ค.ศ. 1891 เธอจึงย้ายตามพี่สาวมาเรียนต่อที่ปารีส ซึ่งเธอก็ได้เรียนต่อและทำวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่นั่น มารีพบกับ ปีแอร์ กูรี ซึ่งเป็นศาสตร์ตราจารย์ของภาควิชาฟิสิกส์ ทั้งคู่แต่งงาน กันใน ค.ศ.1895 การวิจัยในช่วงแรกๆ ของมาดามกูรีและสามีนั้น มักจะทำภายใต้สภาวะที่ยากลำบาก ห้องปฏิบัติการขาดแคลนทุน ต้องหารายได้จากการสอนมาเลี้ยงชีพ แต่ก็ไม่ทำให้เธอย่อท้อ ยังสร้างผลงานที่ทรง คุณค่าออกมามากมาย มาดามกูรีและสามีได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์พร้อมกันจากผลงานการศึกษาการแผ่รังสีอย่างต่อเนื่อง โดยได้รับรางวัลร่วมกับ เบกเคอเรล ค.ศ 1906 (พ.ศ. 2449) เมื่อ ปีแอร์ กูรี เสียชีวิต เธอก็เข้ารับตำแหน่งศาสตราจารย์ฟิสิกส์ทั่วไปที่คณะวิทยาศาสตร์แทน สามี นับเป็นผู้หญิงคนแรกที่ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งดังกล่าว ใน ค.ศ. 1911 (พ.ศ. 2454) ก็ได้รับรางวัลโนเบลสาขาเคมีซึ่งเป็นผลงานเกี่ยวกับกัมมันตภาพ บุตรสาวและบุตรเขยของเธอก็ทำวิจัย จนได้รับรางวัลโนเบลด้วยเช่นกัน



ผลงานของมาดามกูรีนั้นมีทั้งการสร้างทฤษฎีเกี่ยวกับกัมมันตรังสี เทคนิคการแยกไอโซโทปของสารกัมมันตรังสี การค้นพบธาตุใหม่สองชนิด คือพอโลเนียมและเรเดียม และโดยแนวทางที่เธอศึกษาก็มีการใช้ไอโซโทปของกัมมันตรังสีมารักษาโรคมะเร็งเป็นครั้งแรกของโลก ผลงานของมาดามกูรีนั้นเป็นที่ยกย่องจากนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลก เธอได้รับรางวัลต่างๆ มากมายทั้งในทางวิทยาศาสตร์ การแพทย์ และกฎหมาย



มาดามกูรีเสียชีวิตในวันที่ 4 กรกฎาคม ค.ศ. 1934 (พ.ศ. 2477) ที่ปารีส จากอาการโรคโลหิตจางเนื่องจากเม็ดเลือดไม่เจริญ ซึ่งเป็นที่แน่นอนว่า เกิดจากการได้รับรังสี ซึ่งในสมัยนั้นยังไม่ทราบว่าเป็นอันตราย ผลงานของเธอส่วนใหญ่ก็เก็บไว้ในที่เก็บซึ่งไม่มีการตรวจวัดปริมาณรังสี มาดามกูรีก็มักจะนำหลอดทดลองใส่สารกัมมันตรังสีไว้ในกระเป๋า หรือไม่ก็เก็บไว้ที่ลิ้นชักโต๊ะ สารกัมมันตรังสีเหล่านี้ก็ส่งแสงเรืองสีเขียวแกมน้ำเงินในความมืด มีการตรวจวัดปริมาณรังสีในรายงานการทดลองของมาดามกูรีที่ทำในช่วงทศวรรษ 1890 พบว่า รายงานเหล่านั้นปนเปื้อนรังสีในระดับอันตราย แม้แต่ตำราอาหารก็ปนเปื้อนกัมมันตรังสี จึงต้องเก็บเอกสารเหล่านี้ไว้ในกล่องตะกั่ว ใคร ที่อยากจะศึกษาผลงานต่างๆ ของเธอก็ต้องใส่ชุดป้องกันรังสีอย่างดี



คาเรล ซูเซ็ก

เขาบอกว่าเขาเป็น “ผู้กล้าคนสุดท้ายแห่งไนแองการา” ผู้เดิมพันความกล้าด้วยชีวิตของตนเอง

คาเรล ซูเซ็ก เป็นนักแสดงผาดโผน อายุ 37 ปี จากแฮมิลตัน ออนแทริโอ ก่อนหน้านี้ เขาเป็นนักแสดงผาดโผน เช่น ขี่จักรยานยนต์ข้ามรถยนต์ เป็นต้น ซูเซ็กเสียชีวิตจากการแสดงผาดโผนเมื่อวันที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2528



วันที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2527 ซูเซ็กประดิษฐ์ถังทรงกระบอกความสูง 2.7 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลาง 1.5 เมตร ตัวถังหุ้มไฟเบอร์กลาส ปิดหัวท้ายด้วยโฟมเหลว ติดตั้งหน้ากากช่วยหายใจ และมีช่องเล็กสำหรับมองออกด้านนอก ตัวถังสีแดง ที่ข้างถังเขียนว่า “ผู้กล้าคนสุดท้ายแห่งไนแองการา” เขาเข้าไปอยู่ในถังนั้น จากนั้นก็ให้ทีมงานกลิ้งถังลงมาจากความสูงประมาณ 305 เมตร ลงไปยังแอ่งน้ำตกเกือกม้า (Horseshoe Waterfall) เขาใช้เวลาเพียง 3.2 วินาที แต่หลังจากนั้นถังยังคงอยู่ในกระแสน้ำอันเชี่ยวกรากเป็นเวลา 45 นาที จึงกู้ถังขึ้นมาได้ ซูเซ็กออกจากถังในสภาพบาดเจ็บเล็กน้อย หลังจากนั้นเขาก็สร้างพิพิธภัณฑ์เล็กๆ ขึ้นที่บริเวณน้ำตกไนแองการา จัดแสดงของใช้ในการแสดงผาดโผน



หกเดือนต่อมา ในวันที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2528 ซูเซ็กจัดการแสดงผาดโผนอีกรอบ คราวนี้จัดการแสดงที่แอสโตรโดม เท็กซัส ซูเซ็กเข้าไปอยู่ในถัง แล้วปล่อยถังลงมาจากระดับความสูงเกือบ 59 เมตร โดยถังจะตกลงเหนือแทงก์น้ำขนาดใหญ่ แต่ก็เกิดข้อผิดพลาดในการปล่อยถัง ทำให้ถังหมุน และตกลงกระแทกขอบแทงก์น้ำแทนที่จะตกลงตรงๆ ในน้ำ ซูเซ็กบาดเจ็บสาหัส และเสียชีวิตในวันถัดมา



ฟรองซ์ แรเชลต์

ในยุคของสิ่งประดิษฐ์เกี่ยวกับการเหาะเหินเดินอากาศ ก็ต้องบันทึกชื่อฟรองซ์ แรเชลต์ไว้ในประวัติศาสตร์แห่งการ ประดิษฐ์ชุดชูชีพ แต่ชื่อนี้ต้องแลกมาด้วยชีวิต



ฟรองซ์ แรเชลต์ (ค.ศ .1879-4 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1912) ผู้ประดิษฐ์ชุดชูชีพ เป็นที่รู้จักเนื่องจากเขาเสียชีวิตจาก การทดสอบชุดที่เขาออกแบบขึ้นมาเองขณะทดสอบชุดโดยกระโดดจากหอไอเฟล ตัวแรเชลต์นั้นมีความสนใจที่ จะพัฒนาชุดของคนขับเครื่องบินให้เปลี่ยนไปเป็นร่มชูชีพ ได้ หากเครื่องบินตก ตัวนักบินก็จะรอด การทดลองครั้งแรกๆ นั้น แรเชลต์ทดลองกับหุ่นโดยทิ้งหุ่นลงมาจากชั้น ห้าของอพาร์ตเมนต์ที่เขาอาศัยอยู่ ซึ่งก็ประสบความสำเร็จด้วยดี แต่เขาก็ไม่ประสบความสำเร็จอีกเลยในการออกแบบชุดในรุ่นต่อๆ มา



แรเชลต์เชื่อว่าเขาไม่มีสถานที่ที่สูงพอที่จะใช้ทดสอบ จึงยังไม่ประสบความสำเร็จเสียที เขาจึงทำเรื่องขออนุญาตจากทางการตำรวจปารีส เพื่อทำการทดลองที่หอไอเฟล ในที่สุดเขาก็ได้รับอนุมัติให้ทำการทดลองในช่วงต้น ค.ศ 1912 (พ.ศ. 2455) และในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ วันทำการ ทดลอง เขาก็ตัดสินใจสวมชุดและทดสอบด้วยตนเอง แทนที่จะใช้หุ่น ในวันนั้นมีสื่อมวลชนมาทำข่าว และมีประชาชนมาเฝ้าดูกันอย่างหนาแน่น แม้เพื่อนๆ และผู้มาชมจะห้ามไม่ให้เขาทำการทดสอบ แต่ก็ไม่สำเร็จ แรเชลต์กระโดดลงจากแท่นทดสอบแท่นแรกของหอไอเฟล ที่ระดับความสูง 60 เมตร ปรากฏว่าชุดชูชีพไม่กาง ร่างแรเชลต์กระแทกพื้นอย่างจัง เขาเสียชีวิตทันที วันต่อมา หนังสือพิมพ์ต่างพากันลงข่าว เรื่องราวของนักประดิษฐ์ผู้บุ่มบ่าม ผู้เสียชีวิตจากผลงานของตนเอง



ออตโต ลิเลียนทาล







วิศวกรชาวเยอรมัน ผู้เป็นอีกความพยายามหนึ่งในประวัติศาสตร์การบิน เขาบินสู่ท้องฟ้าได้ด้วยเครื่องร่อนที่ประดิษฐ์ขึ้น เก็บเกี่ยวความรู้สึกของการล่องลอยอยู่กลางอากาศ โดย ปราศจากเครื่องยนต์




ออตโต ลิเลียนทาล นับเป็นนักประดิษฐ์ที่มีบทบาทอย่างยิ่งในการพัฒนาการบินที่หนักกว่าอากาศ ลิเลียนทาลประสบความสำเร็จในการร่อนไปในอากาศกว่า 2,000 ครั้ง จาก ค.ศ. 1891-6 โดยเครื่องร่อนที่แตกต่างกันถึง 16 แบบ



ในการประดิษฐ์เครื่องร่อนนั้นลิเลียนทาลศึกษาข้อมูล อย่างละเอียดเกี่ยวกับการบินของนก โดยเฉพาะนกกระสา และใช้ polar diagram มาอธิบายหลักการอากาศพลศาสตร์ของปีก เขาทำการทดลองหลายต่อหลายครั้งเพื่อเก็บข้อมูล เกี่ยวกับการบินที่เชื่อถือได้ ทั้งหมดบันทึกไว้ในหนังสือชื่อ Birdflight as the Basis for Aviation ตีพิมพ์เมื่อ ค.ศ. 1889 ซึ่งเน้นว่าความโค้งของปีกนกนี่เองที่เป็นความลับของการยก ตัว หนังสือของลิเลียนทาลมีอิทธิพลอย่างยิ่งต่อการออกแบบ ทางการบิน และถือเป็นคัมภีร์แห่งการออกแบบเครื่องบินของ พี่น้องตระกูลไรท์และนักออกแบบเครื่องบินยุคแรก แม้ข้อมูลของลิเลียนทาลจะไม่ถูกต้องทั้งหมดก็ตาม



เครื่องร่อนของลิเลียนทาล นั้นควบคุมด้วยการเปลี่ยนตำแหน่งจุดศูนย์ถ่วงโดยการขยับตำแหน่งร่างกาย เช่น เดียวกับเครื่องร่อนในปัจจุบัน แต่มันก็ยากในการควบคุมและมักจะถลำไปข้างหน้า เหตุผลหนึ่งก็คือ เครื่องร่อนของลิเลียนทาลติดอยู่ที่ไหล่ มีเพียงส่วน ขาและร่างกายช่วงล่างเท่านั้นที่เคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ ไม่เหมือนกับเครื่องร่อนปัจจุบัน จึงเป็นเหตุให้มีข้อจำกัดเรื่องการถ่ายน้ำหนักที่ทำได้น้อย



ลิเลียนทาลพยายามแก้ปัญหานี้เพื่อเพิ่มเสถียรภาพ โดยประสบความสำเร็จมากบ้างน้อยบ้าง เช่น การทำเครื่องร่อนสองปีกเพื่อเพิ่มพื้นที่ของปีก ติดส่วนหางให้เป็นแบบบานพับ เพื่อยกตัวเครื่องได้ง่ายขึ้น ลิเลียนทาลคิดว่า การที่นกกระพือปีกอาจมีส่วนช่วยในการบิน เขาจึงคิดประดิษฐ์เครื่องร่อนที่ มีเครื่องยนต์ขึ้น



ในวันที่ 9 สิงหาคม ค.ศ. 1896 ลิเลียนทาลพร้อม จะทดสอบการบินที่มีเครื่องยนต์ โดยสร้างเครื่องร่อนที่กระพือปีกได้ โดยอาศัยพลังงานจากมอเตอร์เล็กๆ ที่เกิดจากการอัดก๊าซ คาร์บอนิกทดสอบการบินตามปกติ เครื่องร่อนของเขาสูญเสียการทรงตัว ร่วงลงพื้นจากความสูง 17 เมตร ลิเลียนทาลกระดูกหลังหัก และเสียชีวิตในวันถัดมา



ทอมัส มิดจ์ลีย์ จูเนียร์

นักเคมีผู้ค้นพบสารเคมีที่นำมาทำประโยชน์ แต่เกิดโทษในท้ายที่สุด แต่สิ่งที่ทำให้เขาเสียชีวิตกลับเป็นกลไกช่วยชีวิตที่เขาประดิษฐ์ขึ้น

ทอมัส มิดจ์ลีย์ จูเนียร์ เกิดเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม ค.ศ. 1889 เขาจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยคอร์แนลล์ในค.ศ. 1911 (พ.ศ. 2454) จากนั้นไปทำงานที่บริษัทเดลโก ในเดย์ตัน โอไฮโอ ค.ศ. 1916 (พ.ศ. 2459) มิดจ์ลีย์ได้รับมอบหมายให้หาวิธีการกำจัดเสียงน็อกที่เกิดขึ้นในเครื่องยนต์ หลังจาก ทำวิจัยอยู่หลายปี มิดจ์ลีย์ค้นพบว่า การเติมเตตระเอทิลเลด (สารตะกั่ว) ลงในน้ำมันจะกำจัดเสียงน็อกของเครื่องยนต์ได้ แต่ก็โชคร้ายที่ว่าตะกั่วทำให้เกิดตะกอนมาเกาะที่วาล์วของเครื่องยนต์ ทำให้เครื่องหยุดเดินได้ มิดจ์ลีย์จึงเติมเอทิลีนไดโบรไมด์ลงไปยังเครื่องยนต์เอทิล ซึ่งจะป้องกันการเกิดตะกอนตะกั่วได้



แต่การเติมตะกั่วลงในน้ำมันก็ทำให้เกิดการปลดปล่อยตะกั่วสู่บรรยากาศ ทำให้เกิดปัญหาสุขภาพไปทั่วโลก ตัวมิดจ์ลีย์เองก็ต้องหยุดพักยาวเพื่อรักษาตัวจากการได้รับพิษตะกั่ว



ใน ค.ศ. 1924 (พ.ศ. 2467) มีการสร้างโรงงานผลิต เตตระเอทิลเลดโดยวิธีอุณหภูมิสูง ซึ่งมีอันตรายอย่างยิ่ง เพียงสองเดือนที่โรงงานเริ่มการผลิต ก็มีผู้เสียชีวิตเพราะพิษตะกั่ว มิดจ์ลีย์เองก็สาธิตการดมเตตระเอทิลเลดในการแถลงข่าว เพื่อแสดงให้เห็นว่าสารเคมีนี้ไม่มีอันตราย แต่หลังจากนั้นเขาก็ต้องพักยาวไปอีกเกือบปี เพื่อรักษาตัวจากพิษตะกั่วที่ได้จากการสูดดมสารเคมีในคราวนั้น



ค.ศ. 1930 (พ.ศ. 2473) มิดจ์ลีย์ได้รับการว่าจ้างจากเจเนอรัลมอเตอร์เพื่อพัฒนาสารทำความเย็นที่ไม่มีพิษและปลอดภัยสำหรับใช้กับเครื่องใช้ในบ้าน เขาค้นพบสารไดคลอโรไดฟลูออโรมีเทน ซึ่งเรียกว่า ฟรีออน สารนี้เข้ามาใช้แทนสารพิษระเบิดง่ายที่ใช้ในปั๊มและตู้เย็น นอกจากนี้ยัง ใช้เป็นสารขับดันในกระป๋องสเปรย์ ยาพ่นรักษาหอบหืด และอื่นๆ ซึ่งมิดจ์ลีย์ได้รับรางวัลเหรียญเพอร์กินจากผลงานนี้ ในค.ศ. 1937 (พ.ศ. 2480) ด้วย นอกจากนี้เขายังได้รับรางวัลต่างๆ อีกหลายรางวัล รวมทั้งเป็นผู้บริหารสมาคมเคมีแห่งสหรัฐอเมริกาด้วย



แต่โชคร้ายที่ใน ค.ศ. 1941 (พ.ศ. 2484) ขณะอายุได้ 51 ปี มิดจ์ลีย์ป่วยเป็นโปลิโอ ทำให้เขากลายเป็นผู้พิการ นี่เป็นเหตุให้เขาคิดประดิษฐ์ระบบเชือกและรอกที่จะช่วยยกตัวเขาออกจากเตียง แต่ระบบที่เขาประดิษฐ์ขึ้นมาก็ทำให้เขาเสียชีวิต เนื่องจากเชือกเข้ามาพันตัวเขาจนทำให้หายใจไม่ออกและเสียชีวิตในที่สุด สิริรวมอายุได้ 55 ปี ผลงานตลอดชีวิตของเขามีการจดสิทธิบัตรไว้ถึง 170 เรื่อง โดยเรื่องของน้ำมันเอทิล และสารคลอโรฟลูออโรคาร์บอนที่ใช้เป็นสารทำความเย็น เป็นสิ่งประดิษฐ์ที่เป็นที่รู้จักมากที่สุด



วิลเลียม บุลล็อก

ผู้ประดิษฐ์กระบวนการพิมพ์แบบโรตารีซึ่งป้อนกระดาษแบบม้วน ถือเป็นการปฏิวัติอุตสาหกรรมการพิมพ์ให้เร็วขึ้น และมีประสิทธิภาพมากขึ้น เปิดศักราชการพิมพ์หนังสือพิมพ์ให้พิมพ์จากกระดาษม้วน ป้อนกระดาษต่อเนื่อง และพิมพ์ได้ทั้งสองหน้า แต่ก็ต้องจบชีวิตเนื่องจากผลงานของตนเอง



วิลเลียม บุลล็อก (ค.ศ. 1813-12 เมษายน ค.ศ. 1867) เกิดที่กรีนวิลล์ รัฐนิวยอร์ก บุลล็อกเป็นเด็กกำพร้าตั้งแต่อายุยังน้อย แต่ก็ได้พี่ชายเลี้ยงดู วัยเด็กเขาทำงานกับพี่ชายในตำแหน่งคนดูแลเครื่องจักรและช่างหล่อเหล็ก บุลล็อกเป็นคนที่ชอบอ่านหนังสือ ทำให้เขาได้ความรู้เกี่ยวกับเครื่องกลต่างๆ มากมาย เมื่ออายุได้ 21 ปี เขาเปิดร้านขายเครื่องจักรที่จอร์เจีย แต่ก็ล้มเหลว



บุลล็อกย้ายกลับมาที่นิวยอร์กหลังจากแต่งงานมีครอบครัว ที่นี่เขายังคงทำงานออกแบบเครื่องจักร เช่น เครื่องอัดฝ้าย/หญ้าแห้ง เครื่องหยอดเมล็ดพืช เครื่องกลึงตัด นอกจากนี้ เขายังประดิษฐ์สว่านเจาะเมล็ด ซึ่งเป็นผลงานที่ได้รับรางวัลจากสถาบันแฟรงกลินเมื่อ ค.ศ. 1849 หลังจากนั้นไม่นานบุลล็อกก็ก้าวเข้าสู่โลกของหนังสือพิมพ์ (คงเป็นเพราะเขาชอบอ่านหนังสือ) และเริ่มต้นทำงานเป็นบรรณาธิการให้หนังสือพิมพ์ฟิลาเดลเฟียที่ชื่อ The Banner of the Union



ค.ศ. 1853 บุลล็อกเริ่มทำงานกับเครื่องพิมพ์ไม้ที่มีที่ป้อนกระดาษได้เอง ซึ่งเป็นแนวคิดเบื้องต้นสำหรับการพัฒนาการพิมพ์ของเขา เจ็ดปีต่อมาบุลล็อกย้ายไปพิตส์เบิร์ก ขณะนั้น ริชาร์ด มาร์ช โฮ ประดิษฐ์ระบบการพิมพ์แบบโรตารีสำหรับกระดาษม้วนเป็นผลสำเร็จ แต่ผลงานบุลล็อกก็เหนือกว่าผลงานของโฮ โดยรองรับกระดาษม้วนใหญ่อย่างต่อเนื่องโดยอัตโนมัติ ไม่ต้องมีคนมาคอยป้อนกระดาษเหมือนการพิมพ์สมัยเก่า เครื่องพิมพ์ก็ปรับได้เอง พิมพ์ได้ทั้งสองหน้า พับกระดาษได้ และ ใบมีดฟันเลื่อยที่คมทำให้ไม่ต้องลับบ่อยก็ตัดกระดาษอย่างแม่นยำ เครื่องพิมพ์นี้พิมพ์ได้ 12,000 แผ่นภายในเวลาหนึ่งชั่วโมง การปรับปรุงต่อมาก็เพิ่มความเร็วได้ถึง 30,000 แผ่นต่อชั่วโมง



แต่สุดท้ายบุลล็อกประสบอุบัติเหตุเนื่องจากสิ่งประดิษฐ์ของเขาเอง ในวันที่ 3 เมษายน ค.ศ. 1867 ขณะที่กำลังจัดการปรับแต่งเครื่องพิมพ์ใหญ่ที่เพิ่งติดตั้ง บุลล็อกพยายามเตะสายพานที่กำลังหมุนให้เข้าที่ ขาของเขาโดนเบียดและติดอยู่กับเครื่อง หลังจากนั้นสองสามวันก็มีอาการเนื้อตาย ในวันที่ 12 เมษายน ค.ศ. 1867 เขาก็เสียชีวิตระหว่างการผ่าตัดขานั่นเอง



เจ.จี. พาร์รี-ทอมัส

วิศวกรชาวเวลส์ และนักขับรถแข่ง ผู้เคยครองสถิติเร็วที่สุดในสนามแข่ง เขาเป็นนักขับรถแข่งคนแรกที่เสียชีวิตจากอาชีพขับรถแข่ง

จอห์น กอดเฟรย์ พาร์รี-ทอมัส (6 เมษายน ค.ศ. 1884 - 3 มีนาคม ค.ศ. 1927) เป็นบุตรของนักบวช เกิดที่เร็กซ์แฮม พาร์รี-ทอมัสมีความหลงใหลในวิชาวิศวกรรม และศึกษาด้านนี้ที่วิทยาลัยในลอนดอน หลังจากทำงานมาหลายอย่างก็มาเป็นหัวหน้าวิศวกรที่เลย์แลนด์มอเตอร์ส ซึ่งผลิตรถยนต์หรูราคาแพง หน้าที่อย่างหนึ่งของเขาก็คือ ทดลองขับรถยนต์หรูคันนี้ที่ความเร็ว 160 กิโลเมตรต่อชั่วโมงก่อนส่งมอบให้ลูกค้า ประสบการณ์เช่นนี้ทำให้เขาลาออกจากงาน และก้าวมาเป็นนักขับรถแข่ง เต็มตัว



พาร์รี-ทอมัสใช้ชีวิตเรียบง่ายอยู่ในกระท่อมใกล้สนามแข่ง ซึ่งในการขับรถแข่งของเขาก็ประสบความสำเร็จโดยชนะการแข่งขัน 38 ครั้งในห้าฤดูกาล และสร้างสถิติต่างๆ ไว้มากมาย



ค.ศ. 1925 (พ.ศ. 2468) พาร์รี-ทอมัสมุ่งความสนใจไปการขับรถแข่งเพื่อทำลายสถิติเพียงอย่างเดียวเท่านั้น เขาลงมือสร้างรถแข่งขึ้นเองเพื่อไว้สร้างสถิติทำความเร็วสูงสุด ปีต่อมา รถยนต์ที่ชื่อ แบบส์ ก็เสร็จเรียบร้อย ทำสถิติ 273 กิโลเมตร ต่อชั่วโมง สถิตินี้ยืนอยู่นานเกือบปีกว่าจะมีนักขับรถแข่งรายอื่นมาโค่นสถิติลงได้ ซึ่งพาร์รี-ทอมัส ก็ยังคงต้องพัฒนาและปรับปรุงรถแข่งของเขาอยู่สม่ำเสมอจนกระทั่งในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1927 (พ.ศ. 2470) ซึ่งจะมีการทดสอบสถิติความเร็วกันใหม่ ที่ริมชายหาดเพ็นดีนแซนด์ เมื่อรถเริ่มออกตัวก็ลื่นไถล หมุนคว้างตีลังกาหลายตลบ และมุ่งหน้าไปยังทะเล โดยที่พาร์รี-ทอมัสยังคงอยู่ในรถ ตัวรถเกิดไฟไหม้ทำให้เจ้าหน้าที่คนอื่นไม่อาจช่วยเขาออกมาได้ ศพของเขาถูกประกอบพิธีฝัง ส่วนเจ้าแบบส์ ก็ถูกฝังไว้ที่ชายหาดนั่นเอง สี่สิบปีต่อมามีการขุดซากแบบส์ขึ้นมา และใช้เวลาอีก 15 ปีจึงจะนำมาจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์แห่งความเร็วที่เพ็นดีน



แหล่งข้อมูล

Alexander Bogdanov. (http://en.wikipedia.org/wiki/Alexander_Bogdanov) ท Cowper Phipps Coles. (http://en.wikipedia.org/wiki/Cowper_Phipps_Coles) ท Franz Reichelt the Flying Tailor. (http://www.junkworthknowing.com/disasters/franz_reichelt_the_flying_tailor) ท Franz Reichelt. (http://en.wikipedia.org/wiki/Franz_Reichelt) ท Henry Winstanley. (http://en.wikipedia.org/wiki/Henry_Winstanley) ท Henry Winstanley. (http://www.uh.edu/engines/epi1888.htm) ท Inventer of newspaper press. (http://www.newspaper-printing-presses.com/inventor.html) ท J. G. Parry-Thomas. (http://en.wikipedia.org/wiki/J._G._Parry-Thomas) ท Karel Soucek. (http://en.wikipedia.org/wiki/Karel_Soucek) ท Karel Soucek. (http://www.findagrave.com/cgi-bin/fg.cgi?page=gr&GRid=7287115) ท Karel Soucek. (http://www.reservationsystems.com/niagara_daredevils/karel_soucek.html) ท Marie Curie. (http://en.wikipedia.org/wiki/Marie_Curie) ท Marie Curie. The Nobel Prize in Physics 1903. (http://nobelprize.org/nobel_prizes/physics/laureates/1903/marie-curie-bio.html) ท Otto Lilienthal. (http://en.wikipedia.org/wiki/Otto_Lilienthal) ท Otto Lilienthal-Germany. (http://www.aviation-history.com/early/lilienthal.htm) ท PARRY THOMAS and BABS. (http://www.speedace.info/parry_thomas.htm) ท Thomas Midgley Jr.. (http://www.ohiohistorycentral.org/entry.php?rec=2661) ท Thomas Midgley, Jr.. (http://en.wikipedia.org/wiki/Thomas_Midgley,_Jr.) ท William Bullock. (http://en.wikipedia.org/wiki/william_Bullock_(inventor))

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

เรื่องน่ารู้ต่างๆ