นับเป็นครั้งแรกในรอบทศวรรษที่ NASA หันมาให้ความสนใจกับดวงจันทร์ใหม่
เยือนดวงจันทร์ ใครๆก็ไปได้ แม้ตัวไม่ได้ไป ได้ฝากชื่อไปเยือนก็ยังดี เมื่อ NASA เปิดโอกาสให้คุณส่งชื่อตัวเองไปกับยานสำรวจดวงจันทร์ Lunar Reconnaissance Orbiter (LRO) และคุณยังจะได้ Certificate ไว้เป็นที่ระลึกอีกด้วย
ภาพ certificate from NASA.
ที่มา gizmodo.com
กำหนดเดิมของการเดิมของได้กำหนดไว้ในปลายปี 2551 แต่ก็ได้เลื่อนออกมา จนกระทั่งถึงวันที่ 18 มิถุนายน 2009 ซึ่งตรงกับเช้ามืดวันศุกร์ที่ 19 ตามเวลาประเทศไทยจึงได้ถึงฤกษ์ถูกปล่อยออกจากฐานที่สถานีแห่งหนึ่งของฐานทัพอากาศบนแหลมคานาเวอรัล ด้วยจรวดแอตลาส-5 (Atlas V rocket) ที่บรรทุกยานสำรวจดวงจันทร์สองลำคือ LRO และยานลำเล็กกว่าซึ่งมีชื่อว่า LCROSS คาดว่ายานทั้งสองลำจะเดินทางถึงดวงจันทร์ใน 4 วันข้างหน้าโดยยานถูกกำหนดให้ลงจอดในหลุมบนดวงจันทร์ที่อยู่ ใกล้กับบริเวณส่วนขั้วโลกใต้ของดวงจันทร์
กำหนดเดิมของการเดิมของได้กำหนดไว้ในปลายปี 2551 แต่ก็ได้เลื่อนออกมา จนกระทั่งถึงวันที่ 18 มิถุนายน 2009 ซึ่งตรงกับเช้ามืดวันศุกร์ที่ 19 ตามเวลาประเทศไทยจึงได้ถึงฤกษ์ถูกปล่อยออกจากฐานที่สถานีแห่งหนึ่งของฐานทัพอากาศบนแหลมคานาเวอรัล ด้วยจรวดแอตลาส-5 (Atlas V rocket) ที่บรรทุกยานสำรวจดวงจันทร์สองลำคือ LRO และยานลำเล็กกว่าซึ่งมีชื่อว่า LCROSS คาดว่ายานทั้งสองลำจะเดินทางถึงดวงจันทร์ใน 4 วันข้างหน้าโดยยานถูกกำหนดให้ลงจอดในหลุมบนดวงจันทร์ที่อยู่ ใกล้กับบริเวณส่วนขั้วโลกใต้ของดวงจันทร์
ภาพ Lunar Reconnaissance
ที่มา solarsystem.nasa.gov
LRO ได้เข้าสู่วงโคจรรอบดวงจันทร์เมื่อเวลา 17.27 น. ของวันที่ 23 มิถุนายน 2009 ที่ผ่านมา ที่ดวงจันทร์แรงโน้มถ่วงทำให้ยานโคจรรอบดวงจันทร์เป็นวงรี หลังจากนั้นศูนย์ควบคุมจากโลกจะทำการปรับวงโคจรของยานให้ยานโคจรรอบดวงจันทร์เป็นวงกลมที่ความสูง 50 กิโลเมตร และด้วยระนาบวงโคจรทำมุมเกือบตั้งฉากกับเส้นศูนย์สูตร จะช่วยทำให้ยานสามารถโคจรผ่านขั้วทั้งสองของดวงจันทร์ นี่ทำให้ยานสำรวจสภาพแวดล้อมทางรังสีของดวงจันทร์ได้ทั่วถึง
และเมื่อ LRO เข้าสู่วงโคจรชั้นในของดวงจันทร์แล้ว ตั้งแต่วันที่ 27 มิ.ย. เป็นต้นไป เครื่องมือและอุปกรณ์ที่บรรทุกไปกับยาน จะเริ่มเชื่อมต่อกับเครือข่ายคอมพิวเตอร์ และดำเนินการสำรวจพื้นผิวดวงจันทร์ เช่น กล้อง เครื่องตรวจจับด้วยอินฟราเรด และเครื่องวัดความสูงด้วยแสงเลเซอร์ สำหรับกล้องที่ อยู่ ในยาน LRO จะมีความสามารถในการมองเห็นวัตถุที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางเพียง 50 เซนติเมตร อุปกรณ์เหล่านี้สามารถสำรวจพื้นผิวดวงจันทร์ใด้ภายใต้สเปกตรัมที่ ความยาวคลื่นต่างๆ เพื่อให้ได้ข้อมูลภาพถ่ายภูมิประเทศบนดวงจันทร์ในแบบ 3 มิติ ที่ละเอียดมากยิ่งขึ้น และยังใช้หาอุปกรณ์ที่ยานอพอลโลทิ้งไว้บนดวงจันทร์ในระหว่างปี 2512-2515 ได้อีกด้วย นอกจากนี้เพื่อความปลอดภัยของนักบินอวกาศจาก Cosmic Ray จึงได้เตรียมพร้อมอุปกรณ์กล้องโทรทรรศน์ซึ่งห่อหุ้มด้วยหนังมนุษย์เทียม เพื่อทำความเข้าใจกับผลของรังสีสะท้อนจากดวงจันทร์ที่อาจจะส่งผลกระทบต่อมนุษย์
มาที่ดาวเทียม LCROSS (Lunar CRater Observation and Sensing Satellite) เป็นปฏิบัติการที่จะชนพื้นผิวดวงจันทร์ในการสำรวจหาน้ำแข็ง ซึ่งจะติดอยู่กับ LRO ไปจนถึงเดือนตุลาคม ก่อนที่จะแยกออกไปสำรวจดวงจันทร์ในระดับที่มีความลึกซึ้งยิ่งขึ้น
ภาพ the LCROSS spacecraft and its Centaur booster rocket. The Centaur will crash into the Moon
ที่มา www.spaceinfo.com.au
LCROSS จะมีจรวดที่เรียกว่าเซนทอร์ (Centaur) ซึ่งหนัก 2 เมตริกตัน ประกบติดไปด้วย ซึ่งแยกตัวออกจาก LCROSS พุ่งชนดวงจันทร์ในบริเวณหลุมอุกกาบาตที่ขั้วใต้ พิสูจน์ว่าหลุ่มลึกที่คาดว่าแสงอาทิตย์ไม่สามารถส่องถึงก้นหลุมมานานถึง 2,000 ล้านปีอาจจะมีน้ำซึ่งหากมีจริงเเล้ว แหล่งน้ำที่นี่ก็จะเป็นทรัพยากรที่สำคัญสำหรับโครงการสำรวจดวงจันทร์ด้วยมนุษย์ในระยะยาว ช่วยลดภาระการบรรทุกน้ำและเชื้อเพลิงจากโลก
และผลจากแรงระเบิดจากการกระแทกพื้นผิวด้วยอัตราเร็วประมาณ 2.5 กิโลเมตรต่อวินาทีจะทำให้ฝุ่นผงซึ่งประกอบด้วยดินและหินกว่า 350 ตันของพื้นผิวดวงจันทร์ลอยขึ้นมาบนท้องฟ้าสูงถึง 6 ไมล์ ซึ่งถ้าหากมีน้ำแข็งอยู่ในหลุมลึกแห่งนี้ ก็คาดว่าสมารถตรวจจับร่องรอยของน้ำจากการระเหยเป็นไอออกมาได้ และเมื่อปล่อยจรวจออกไปแล้ว LCROSS จะบินฝ่าเข้าไปในหมอกที่ฟุ้งขึ้นมาแล้วทำการวัดค่าต่างๆ รวมทั้งสัญญาณที่อาจช่วยพิสูจน์ยืนยันได้ว่ามีน้ำแข็งอยู่จริงส่งข้อมูลกลับยังพื้นโลก ก่อนที่ก่อนที่มันจะพุ่งกระทบพื้นผิวดวงจันทร์ภายในเวลา 4 นาที ตามหลัง หลังจากที่จรวด Centaur ถูกยิงออกไป
สำหรับการพุ่งชนในครั้งนี้ ทางNASAได้กะว่าจะทำในช่วงเวลาเวลากลางคืนของทวีปอเมริกา เพื่อให้เพื่อให้หอดูดาวต่างๆ ในประเทศทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำมิสซิสซิปปีในสหรัฐ สามารถสังเกตเหตุการณ์นี้ผ่านกล้องโทรทรรศที่มีความยาว 12 ไปพร้อมกัน
ผลพลอยได้ที่อาจมาจากโครงการสำรวจในครั้งนี้ คือ การยืนยันข้อสงสัยที่หลายคนกังขา NASA มาตลอดว่าการเยท้อดวงจันทร์ของโครงการอพอลโลเป็นเรื่องหลอกลวง เพราะคาดว่าภาพถ่ายที่มีความละเอียดสูงที่สามารถแยกแยะวัตถุที่มีขนาดไม่ถึง 1 เมตร จะทำให้เห็นร่องรอยของยานทิ้งไว้บนดวงจันทร์ได้
ข้อทฤษฎีสมคบคิดต่างๆ ที่กล่าวหาว่าโครงการอะพอลโลเป็นเรื่องหลอกลวงอาจถึงคราวยุติลงได้ เพราะนักดาราศาสตร์คาดว่าภาพถ่ายจากยานแอลอาร์โอจะสามารถแยกแยะวัตถุที่มีขนาดไม่ถึง 1 เมตร บนพื้นผิวดวงจันทร์ได้ ซึ่งละเอียดมากพอที่จะจับภาพร่องรอยของรถสำรวจและส่วนลงจอดของยานอะพอลโลที่ถูกทิ้งไว้บนนั้น
และนี่คือส่วนหนึ่งของภาพถ่ายที่ ยืนยันโรงการอพอลโล
All images credit: NASA/Goddard Space Flight Center/Arizona State University
Apollo 11 lunar module, Eagle
Apollo 15 lunar module, Falcon.
Apollo 16 lunar module,Orion.
Apollo 17 lunar module, Challenger.
Apollo 14 lunar module, Antares.
และโครงการนี้ถือเป็นก้าวแรก สำหรับแผนการกับสู่ดวงจันทร์ของมนุษย์ครั้งที่สอง โดยกำหนดไว้ว่าปฏิบัติการนี้ที่จะใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งปีในวงโคจรต่ำผ่านขั้วดวงจันทร์ในปฏิบัติการสำรวจหลัก ก็อาจจะมีความเป็นไปได้ที่จะยายเวลาออกไปอีก 3 ปี เพื่อสำรวจและรวบรวมข้อมูลของดวงจันทร์เพิ่มมากขึ้น และเราก็เตรียมจับตาดูกันว่าความคึกคักของการส่งยานสำรวจดวงจันทร์จากหลายๆประเทศในตอนนี้ทั้ง จีน ญี่ปุ่น อินเดีย จะทำให้เราเห็นภาพแห่งอดีต ของมนุษย์ที่ก้าวเท้าย่ำบนดวงจันทร์อีกเมื่อใด
แหล่งที่มา:
astronomy.com : Lunar Reconnaissance Orbiter ships south in preparation for launch Reporter By MCOT News
LRO Sees Apollo Landing Sites By www.nasa.gov
ยานสำรวจดวงจันทร์ล่าสุด โดย วรเชษฐ์ บุญปลอด: หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย
ยาน LRO ถึงที่หมายมุ่งสร้างแผนที่ให้นาซาใช้ ยามกลับไปเหยียบดวงจันทร์ โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น