ความเชื่อดังกล่าวทำให้วัฒนธรรมหลายวัฒนธรรมพยายามหาทางป้องกันก่อนที่จะเกิดสิ่งที่เลวร้ายขึ้น ความคิดและความสำคัญของนัยน์ตาปีศาจก็แตกต่างกันออกไปเป็นอันมากระหว่างวัฒนธรรมต่างๆ ความเชื่อนี้ปรากฏหลายครั้งในบทแปลของพันธสัญญาเดิม[1] และแพร่ขยายออกไปอย่างกว้างขวางในบรรดาอารยธรรมของกลุ่มชนต่าง ๆ ในบริเวณเมดิเตอร์เรเนียน กรีซคลาสสิกอาจจะเรียนรู้จากอียิปต์โบราณ และต่อมาก็ผ่านความเชื่อนี้ต่อไปยังโรมันโบราณ
บทความนี้ใช้ระบบปีคริสต์ศักราช เพราะเป็นส่วนหนึ่งของบทความอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการใช้ ค.ศ. และ/หรือมีการอ้างอิงไปยังคริสต์ศตวรรษ
“นัยน์ตาปีศาจนาซาร์” ที่ใช้ในการเป็นเครื่องลางในการป้องกันจากนัยน์ตาปีศาจที่ขายกันแพร่หลายในตุรกี
อิลยา เรพิน, "มุซฮิคกับนัยน์ตาปีศาจ" (ค.ศ. 1877)
ลักษณะของความเชื่อ
อิลยา เรพิน, "มุซฮิคกับนัยน์ตาปีศาจ" (ค.ศ. 1877)แนวความเชื่อบางอย่างเกี่ยวกับนัยน์ตาปีศาจเชื่อว่าคนบางคนสามารถนำอันตรายมายังผู้อื่นได้ด้วยการจ้องด้วยตาที่มีเวทมนต์ที่ประสงค์ร้าย แต่โดยทั่วไปแล้วมักจะเป็นการจ้องด้วยความอิจฉา และความรุนแรงของอันตรายต่อผู้ที่ถูกจ้องก็ต่างกันออกไป ในบางวัฒนธรรมก็กล่าวว่าผู้ถูกจ้องจะประสบกับโชคร้าย หรือในกรณีอื่นก็เชื่อว่าการจ้องจะทำให้ผู้ถูกจ้องป่วย และบางครั้งอาจจะมีอาการหนักถึงเสียชีวิตได้ ในวัฒนธรรมเกือบทุกวัฒนธรรมเหยื่อของเวทมนต์ส่วนใหญ่เชื่อกันว่าจะเป็นเด็กหรือทารก เพราะเด็กมักจะได้รับการเยินยอสรรเสริญจากคนแปลกหน้า หรือ จากสตรีที่ไม่มีบุตร แอแลน ดันด์สศาสตราจารย์สาขาวิชาตำนานพื้นบ้านแห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กลีย์ผู้ทำการศึกษาเกี่ยวกับความเชื่อนี้ในวัฒนธรรมต่างๆ และพบว่ามีพื้นฐานร่วมกันอยู่อย่างหนึ่งที่ว่าการแก้เคล็ดจะเกี่ยวกับการทำให้ชื้น และ การป้องกันจากภัยของการถูกมนต์ขลังของนัยน์ตาปีศาจ ที่ทำได้ด้วยปลาในบางวัฒนธรรมมีความเกี่ยวโยงกับปลาจะเปียกอยู่ตลอดเวลา[4] ดันด์สข้อสังเกตตังกล่าวใน “Wet and Dry: The Evil Eye”
ความเชื่อเกี่ยวกับนัยน์ตาปีศาจในรูปแบบหนึ่งกล่าวว่า ผู้หนึ่งตามปกติแล้วจะมิได้เป็นผู้มีความประสงค์ร้ายต่อผู้ใดอาจจะมีอำนาจในการทำร้ายผู้ใหญ่, เด็ก, สัตว์เลี้ยง หรือ สิ่งของได้โดยเพียงแต่จ้องด้วยความอิจฉา คำว่า “Evil” อาจจะเป็นคำที่ทำให้เข้าใจผิดในบริบทนี้ เพราะเป็นคำที่มีนัยยะว่าบุคคลดังกล่าวจงใจที่จะ “แช่ง” ผู้โชคร้าย ความเข้าใจในความคิดเกี่ยวกับ “evil eye” ให้ดีขึ้นอาจจะมาจากคำภาษาอังกฤษสำหรับการจ้องมองด้วยนัยน์ตาปีศาจที่เรียกว่า “overlooking” ที่เป็นนัยยะว่าเป็นการจ้องอย่างจงใจเป็นเวลานานกว่าเหตุต่อสิ่งที่ประสงค์จะจ้องไม่ว่าจะเป็นคน สัตว์เลี้ยง หรือ สิ่งของ
ขณะที่วัฒนธรรมบางวัฒนธรรมเชื่อว่านัยน์ตาปีศาจเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างไม่ได้ตั้งใจโดยผู้ที่โชคร้ายพอที่จะถูกแช่งโดยอำนาจที่มาจากการจ้องมอง แต่กระนั้นก็มีผู้ที่เชื่อว่าเป็นอำนาจที่เกิดขึ้นที่อาจจะไม่ได้เกิดขึ้นอย่างจงใจแต่ก็เป็นอำนาจที่มาจากความอิจฉา
ประวัติ
หลักฐานทางลายลักษณ์อักษรและหลักฐานทางโบราณคดียืนยันว่าความเชื่อในเรื่องนัยน์ตาปีศาจทางตะวันออกของบริเวณเมดิเตอร์เรเนียนดำเนินมาเป็นเวลาหลายพันปี ที่เริ่มด้วย เฮซิโอด, คาลลิมาคัส, เพลโต, ดิโอโดรัส ซิคัลลัส, ธีโอคริตัส, พลูทาร์ค, พลินิ และ ออลัส เกลลิอัส ในงานเขียน “Envy and the Greeks” (ไทย: ความอิจฉาและชาวกรีก) ที่เขียนในปี ค.ศ. 1978) ปีเตอร์ วอลค็อทกล่าวถึงงานอ้างอิงกว่าร้อยชิ้นของนักประพันธ์ผู้เขียนงานเกี่ยวกับนัยน์ตาปีศาจ การศึกษางานอ้างอิงเหล่านี้เพื่อทำการเขียนเกี่ยวกับนัยน์ตาปีศาจก็ยิ่งทำให้มองเห็นภาพที่ขาดความสมบูรณ์ยิ่งขึ้นไปอีก ไม่ว่าจะเป็นการเขียนจากมุมมองของตำนานพื้นบ้าน, เทววิทยา, คลาสสิค หรือ มานุษยวิทยา ขณะการเขียนจากแนวต่างๆ เหล่านี้มักจะอ้างอิงถึงแหล่งข้อมูลที่ใกล้เคียงกัน แต่กระนั้นแหล่งข้อมูลแต่ละแหล่งก็จะมีมุมมองของความเข้าใจนัยน์ตาปีศาจที่ต่างกันออกไป ที่ว่าเป็นความเชื่อที่ว่าบุคคลบางคนมีตาที่มีอำนาจในการก่อให้เกิดความเจ็บป่วยหรือความตายแก่ผู้ที่ถูกจ้องมองได้ไม่ว่าจะโดยความตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม
นัยน์ตาปีศาจในสมัยคลาสสิค
ความเชื่อในเรื่องนัยน์ตาปีศาจในสมัยโบราณมีพื้นฐานมาจากหลักฐานของแหล่งข้อมูลเช่น อริสโตฟานีส, เอเธเนียส และ พลูทาร์ค และยังมีผู้คาดกันว่าโสกราตีสเป็นผู้มีอำนาจในการใช้นัยน์ตาปีศาจ และผู้ติดตามและผู้ชื่นชมในตัวโสกราตีสต่างก็หลงเสน่ห์จากการจ้องมองอย่างเอาจริงเอาจังของโสกราตีส ลูกศิษย์ของโสกราตีสเรียกกันว่า “Blepedaimones” ที่แปลว่าการมองอย่างดีมอน (demon) ไม่ใช้เพราะเป็นผู้ที่ถูกสิงหรือมีอำนาจในการใช้นัยน์ตาปีศาจ แต่เพราะถูกสงสัยว่าเป็นผู้ที่ตกอยู่ภายใต้การสะกดจิตและอันตรายจากการชักจูงของโสกราตีส
ในสมัยกรีก-โรมันคำอธิบายอย่างมีเหตุผลของอำนาจของนัยน์ตาปีศาจเป็นสิ่งที่ปรากฏทั่วไป คำอธิบายของพลูทาร์คกล่าวว่าตาคือสิ่งที่สำคัญที่สุดถ้าไม่เป็นสิ่งเดียว ที่เป็นที่มาของรังสีที่เป็นอันตรายที่พุ่งออกมาราวกับศรพิษจากส่วนลึกของบุคคลผู้เป็นเจ้าของอำนาจของนัยน์ตาปีศาจ (Quaest.Conv. 5.7.2-3=Mor.80F-81f) พลูทาร์คกล่าวถึงอำนาจของนัยน์ตาปีศาจว่าเป็นสิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นสิ่งไม่อาจจะอธิบายได้ที่เป็นแหล่งของอำนาจอันวิเศษและเป็นที่มาของความน่ากังขา
ความเชื่อในเรื่องนัยน์ตาปีศาจในสมัยโบราณก็ต่างกันออกไปตามแต่ภูมิภาคและยุคสมัย และความกลัวนัยน์ตาปีศาจก็รุนแรงไม่เท่าเทียมกันไปทุกมุมเมืองในจักรวรรดิโรมัน บางท้องที่ก็อาจจมีความหวาดกลัวที่สูงกว่าท้องที่อื่น ในสมัยดรมันไม่แต่บุคคลเท่านั้นที่เชื่อกันว่าอาจจะเป็นผู้มีอำนาจในการใช้นัยน์ตาปีศาจ และ อาจจะเป็นกลุ่มชนทั้งกลุ่ม โดยเฉพาะประชากรชาวพอนทัส หรือ ซิทเธียที่เชื่อกันว่าเป็นกลุ่มชนที่มีอำนาจในการใช้นัยน์ตาปีศาจ
การเผยแพร่ของความเชื่อในเรื่องนัยน์ตาปีศาจไปทางตะวันออกเกิดขึ้นระหว่างการขยายอำนาจของอเล็กซานเดอร์มหาราชที่เป็นการเผยแพร่ความเชื่อนี้และความเชื่อต่างๆ ของกรีกไปทั่วจักรวรรดิ
ต้นไม้ที่เต็มไปด้วยนัยน์ตาปีศาจในคาพะโดเคียในตุรกี
การเผยแพร่ความเชื่อ
ต้นไม้ที่เต็มไปด้วยนัยน์ตาปีศาจในคาพะโดเคียในตุรกีความเชื่อในเรื่องนัยน์ตาปีศาจที่รุนแรงที่สุดอยู่ในบริเวณตะวันออกกลาง, แอฟริกาตะวันออก, แอฟริกาตะวันตก, อเมริกากลาง, เอเชียใต้, เอเชียกลาง และ ยุโรป โดยเฉพาะในบริเวณเมดิเตอร์เรเนียน ที่นอกจากนั้นแล้วก็ยังเผยแพร่ไปยังบริเวณอื่นที่รวมทั้งตอนเหนือของยุโรป โดยเฉพาะในบริเวณวัฒนธรรมเคลต์ และใน อเมริกา ที่นำเข้าไปโดยนักอาณานิคมยุโรป และต่อมาผู้ย้ายเข้าไปตั้งถิ่นฐานที่มาจากตะวันออกกลาง, แอฟริกาตะวันออก, แอฟริกาตะวันตก, อเมริกากลาง
ความเชื่อในเรื่องนัยน์ตาปีศาจพบในบทเขียนของอิสลามที่ศาสดามุฮัมมัด กล่าวว่า “อิทธิพลของนัยน์ตาปีศาจเป็นเรื่องที่จริง...”[5] นอกจากนั้นกิจการการขจัดนัยน์ตาปีศาจก็ยังเป็นประเพณีที่ถือปฏิบัติกันอย่างแพร่หลายโดยมุสลิม เช่นแทนที่จะกล่าวชมความงามของเด็กโดยตรง ก็มักจะกล่าวว่า “ما شاء الل” ที่แปลว่า “ถ้าเป็นสิ่งพระเจ้าทรงมีพระสงค์” แทนที่ ซึ่งเท่ากับเป็นการกล่าวว่าเป็นพรที่เป็นอำนาจของพระเจ้าที่ประทานให้บุคคลที่ได้รับการชื่นชม[6] นอกจากจะมีหลักฐานสนับสนุนในบทเขียนของอิสลามแล้ว ก็ยังมีความเชื่ออื่นๆ ในเรื่องนัยน์ตาปีศาจที่ไม่มีหลักฐานยืนยันที่พบในศาสนาพื้นบ้านที่มักจะเกี่ยวกับการใช้เครื่องรางในการป้องกันจากภัยที่อาจจะประสบ
แม้ว่าความคิดในเรื่องการจ้องมองแทบจะไม่พบในสังคมเอเชียตะวันออก และ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่ความเชื่อเรื่องการ Usog ในฟิลิปปินส์ถือเป็นข้อยกเว้น
ชาวยิวอัชเคนาซิในยุโรปและสหรัฐอเมริกาแม่แบบ:Who มักจะอุทานว่า “Keyn aynhoreh” (ไทย: ไม่เอานัยน์ตาปีศาจ) ในภาษายิดิช เพื่อเป็นการป้องกันจากการสาปแช่งหลังจากที่สิ่งใดสิ่งหนึ่งหรือบุคคลใดบุคคลหนึ่งได้รับคำชมโดยไม่ทันคิด หรือ หลังจากการประกาศข่าวดี
ในบริเวณภูมิภาคอีเจียน และอื่นๆ ที่ผู้มีตาสีอ่อนน้อย ก็เป็นที่เชื่อกันว่าผู้ที่มีตาสีเขียวเป็นผู้มีอำนาจในการใช้นัยน์ตาปีศาจไม่ว่าจะโดยการจงใจหรือไม่จงใจก็ตาม[7] ความเชื่อนี้อาจจะมีสาเหตุมาจากการที่ผู้คนจากต่างวัฒนธรรมที่ไม่คุ้นกับความเชื่อดังกล่าว เช่นผู้คนจากทางเหนือของยุโรป อาจจะปฏิบัติในสิ่งที่ขัดกับประเพณีท้องถิ่นในการจ้องมองหรือการชมความงามของเด็ก ฉะนั้นในกรีซและตุรกีเครื่องลางที่ใช้ในการต่อต้านอำนาจของนัยน์ตาปีศาจจึงเป็นตาสีฟ้า
สำหรับผู้ที่ไม่เชื่อในเรื่องของอำนาจของนัยน์ตาปีศาจ คำเปรยเช่น “to give someone the evil eye” จึงมักจะมีความหมายเพียงว่าเป็นการจ้องมองด้วยความโกรธหรือความเดียดฉันท์เท่านั้น
ยันต์และการแก้
การพยายามที่จะป้องกันจากนัยน์ตาปีศาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการใช้เครื่องรางกันหลายวัฒนธรรม เครื่องรางประเภทนี้จัดอยู่ในกลุ่มที่เรียกว่า “apotropaic” (ที่มาจากภาษากรีกว่า “prophylactic” หรือ “ป้องกัน”) ที่แปลตรงตัวว่าเครื่องรางที่ “หันเหไปทางอื่น” หรือปัดอันตรายไปทางอื่น
สิ่งที่ง่ายที่สุดในการป้องกันในประเทศยุโรปที่เป็นคริสเตียนคือกาทำสัญญาณกางเขนด้วยนิ้วมือไปยังแหล่งที่มาของอันตราย หรือ ผู้โดยอันตรายที่บรรยายในบทแรกของนวนิยายเรื่อง “แดรคคิวลา” โดยแบรม สโตเคอร์ที่ตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1897:
เมื่อเราเริ่ม ฝูงชนรอบประตูโรงเตี๊ยมซึ่งเมื่อถึงเวลานั้นก็รวมกันเป็นกลุ่มใหญ่พอควร และต่างคนก็ทำสัญญาณกางเขน และชี้นิ้วมายังข้าพเจ้า ข้าพเจ้าถามเพื่อนผู้โดยสารให้ช่วยอธิบายอย่างขลุกขลักว่าหมายความว่าอย่างไร ซึ่งก็ไม่ได้ตอบทันที แต่เมื่อทราบว่าข้าพเจ้าเป็นคนอังกฤษ จึงได้อธิบายว่าเป็นการแสดงสัญญาณเพื่อกันจากนัยน์ตาปีศาจ[8]
แป้นหรือลูกกลมที่เป็นวงน้ำเงินรอบวงกลมขาว ที่รอบนอกมักจะเป็นสีน้ำเงินเข้ม ตามด้วยสีน้ำเงินอ่อน, ขาว และ น้ำเงินเข้ม เป็นสัญลักษณ์ของนัยน์ตาปีศาจที่เป็นที่นิยมใช้เป็นยันต์ในตะวันออกกลางที่อาจจะพบที่หัวเรือในเรือที่ใช้ในบริเวณเมดิเตอร์เรเนียนและที่อื่นๆ ตามตำนานแล้วตายันต์ที่จ้องเป็นสิ่งที่หันเหนการจ้องด้วยความประสงค์ร้ายกลับไปยังผู้จ้อง
เครื่องยันต์ดังกล่าวเรียกว่า “nazar” (ตุรกี: nazar boncuğu หรือ nazarlık) ที่จะเป็นเครื่องยันต์ที่เห็นกันอย่างแพร่หลายในตุรกี ที่จะพบในหรือหน้าบ้าน หรือบนรถยนตร์ หรือสรวมใส่เป็นสร้อยลูกปัด
ตาสีฟ้าอาจจะพบในรูปแบบอื่นเช่น “มือฮัมซา” ซึ่งมีรูปร่างเป็นมือที่มีตาอยู่บนฝ่ามือที่พบในตะวันออกกลาง นอกจากนั้นคำว่า “hamsa” อาจจะสะกดเป็น “khamsa” หรือ “hamesh” คือ “ห้า” ที่หมายถึงนิ้วห้านิ้ว ในฆราวัสวัฒนธรรมของชาวยิว ฮัมซาเรียกว่า “มือของมิเรียม” และในวัฒนธรรมมุสลิมเรียกว่า “มือของฟาติมะห์”
กรีซ
นัยน์ตาปีศาจในภาษากรีกเรียกว่า “ματι” ที่ใช้เป็นเครื่องยันต์มาตั้งแต่อย่างน้อยก็ในศตวรรษที่ 6 ก่อนคริสต์ศักราช ที่พบเสมอบนภาชนะสำหรับดื่ม[9] ในกรีซนัยน์ตาปีศาจถูกกำจัดโดย “ξεμάτιασμα” (“xematiasma”) โดยผู้ทำการจะท่องมนต์คาถาลับที่ได้มาจากญาติโยมอาวุโสเพศตรงข้ามที่มักจะเป็นปู่ย่า คาถาจะได้รับก็เมื่อมีสถานการณ์ที่เฉพาะเจาะจงเกิดขึ้น เพราะผู้ที่ถ่ายทอดคาถาเมื่อถ่ายทอดแล้วตนเองก็จะหมดอำนาจในการขจัดภัยจากนัยน์ตาปีศาจ
คาถาเหล่านี้ก็แตกต่างกันไปตามแต่ท้องถิ่น แต่บทที่นิยมใช้กันก็จะเป็นคาถาที่อ้างถึงพระแม่มารี ที่ท่องสามครั้ง กล่าวกันว่าถ้าผู้ใดถูกมนต์ของนัยน์ตาปีศาจเข้าทั้งผู้ถูกมนต์และผู้รักษาก็จะมีอาการหาวอย่างต่อเนื่องกัน ผู้รักษาก็จะทำสัณญาณกางเขนสามครั้ง และ ถุยน้ำลายขึ้นไปสามครั้ง
การ “ทดสอบ” อีกอย่างหนึ่งคือการเช็คคือการเช็คน้ำมัน ตามปกติแล้วน้ำมันมะกอกจะลอยในน้ำเพราะน้ำมันเบากว่าน้ำ การทดสอบก็ทำได้โดยเอาน้ำมันหยดหนึ่งใส่ลงไปในแก้วน้ำโดยเฉพาะน้ำมนต์ ถ้าหยดน้ำมันลอยก็แปลว่าไม่ได้ถูกมนต์จากนัยน์ตาปีศาจ แต่ถ้าน้ำมันไม่ลอยขึ้นมาก็แปลว่าต้องมนต์ อีกวิธีหนึ่งเอาน้ำมันสองหยดใส่ลงไปในแก้วน้ำแยกกัน ถ้าน้ำมันทั้งสองหยดยังคงไม่มารวมกันก็แปลว่าน้ำมันนั้นไม่ต้องมนต์ แต่ถ้ามารวมกันเป็นหยดเดียวกันก็แปลว่าต้องมนต์ การทดลองนี้มักจะทำกับผู้สูงอายุที่ต้องสงสัยว่าเป็นผู้มีอำนาจในการรักษา
คริสต์ศาสนปราชญ์ของกรีกยอมรับความเชื่อเรื่องนัยน์ตาปีศาจเกี่ยวกับปีศาจ และ ความอิจฉา ในเทววิทยาของกรีกนัยน์ตาปีศาจ หรือ “βασκανία” (vaskania) ถือว่าเป็นสิ่งที่มีอันตรายต่อผู้ที่แสดงใช้ความอิจฉาในการสร้างอันตรายต่อผู้อื่นนอกไปจากผู้ที่ถูกต้องมนต์เอง ลัทธิกรีกออร์โธด็อกซ์มีบทสวดมนต์สำหรับป้องกันจาก “βασκανία”จากหนังสือสวดมนต์ อ “Μέγαν Ιερόν Συνέκδημον” (Mega Hieron Syenekdymon).
โรม
The มือฮัมซาคือยันต์ที่ใช้ในการป้องกันนัยน์ตาปีศาจในสมัยโรมันโบราณมีผู้ที่เชื่อว่าเครื่องรางองคชาต และ สิ่งตกแต่งเป็นสิ่งที่ใช้กันนัยน์ตาปีศาจ เครื่องรางดังกล่าวในภาษาละตินเรียกว่า “Fascinus” หรือ “หน่อองคชาต” ที่มาจากคำกิริยา “Fascinare” (ต้นรากของคำว่า “Fascinate” ในภาษาอังกฤษ) ที่แปลว่า “แช่งชัก” เช่นเดียวการใช้นัยน์ตาปีศาจ
ตัวอย่างหนึ่งของเครื่องรางดังกล่าวก็ได้แก่ “เครื่องรางคอร์นิเชลโล” (cornicello) ที่แปลตรงตัวว่า “เขาเล็ก” ในภาษาอิตาลีสมัยใหม่เรียกว่า “Cornetti” หรือบางที่ก็เรียกว่า “Cornuto” หรือ “Corno” ที่ต่างก็แปลว่าเขา ซึ่งเป็นเครื่องรางรูปเขาที่บิดม้วนเล็กน้อย เครื่องรางคอร์นิเชลโลมักจะแกะจากปะการังสีแดงหรือจากเงินหรือทอง เขาที่ใช้เป็นทรงที่เลียนแบบเขาแกะหรือแพะ แต่อันที่จริงแล้วบิดเหมือนเขาละมั่งแอฟริกาหรือสัตว์ตระกูลเดียวกันมากกว่า
ในบรรดาชนชาติในบริเวณเมดิเตอร์เรเนียนที่ไม่ใช้เครื่องยันต์ที่เป็นองค์ชาติก็อาจจะใช้สัญลักษณ์ที่ทำด้วยมือแทนโดยการชูนิ้วชี้และนิ้วก้อย ในลาตินอเมริกางานสลักของกำมือที่หัวแม่มือกดระหว่างนิ้วชี้และนิ้วกลางก็ยังใช้เป็นเครื่องรางนำโชคกันอยู่
ในหนังสือ “A History of Oral Interpretation” (ประวัติของการตีความหมาย) โดยยูจีน บาห์น และ มาร์กาเร็ต แอล. บาห์นกล่าวว่า “'วัตถุประสงค์สำคัญของคำพูดคือการพิทักษ์จากนัยน์ตาปีศาจ และแม้ในปัจจุบันก็ยังคงมีบทขับสำหรับป้องกันจากความโชคร้ายในสถานการณ์อย่างใดอย่างหนึ่ง” ที่มีสาเหตุมาจาก “อุปกรณ์เพื่อยับยั้งความอิจฉาของจิตวิญญาณที่มีอำนาจเหนือชะตาของมนุษย์. . .”
ศาสนายูดาย
“นัยน์ตาปีศาจ” ได้รับการกล่าวถึงหลายครั้งใน “Ethics of Our Fathers” (หลักจริยธรรมของบรรพบุรุษ) โดย Pirkei Avot ในบทที่ 2 กล่าวถึงลูกศิษย์ห้าคนของราไบโยคานัน เบน ซาไคที่ให้ข้อแนะนำเกี่ยวกับการดำรงชีวิตในแนวทางที่ดีและเลี่ยงการทำความชั่ว ราไบเอลิเอเซอร์กล่าวว่านัยน์ตาปีศาจเลวร้ายกว่าเพื่อน หรือ เพื่อนบ้านที่เลว หรือ ผู้ประสงค์ร้าย ศาสนายูดายเชื่อว่า “ตาดี” เป็นตาที่ส่งความประสงค์ดีและความกรุณาต่อผู้อื่น ผู้ที่มีทัศนคติดังกล่าวจะมีความสุขกับการได้ดีของผู้อื่น และเป็นผู้มีความประสงค์ดีต่อเพื่อนมนุษย์ ส่วน “นัยน์ตาปีศาจ” เป็นทัศนคติตรงกันข้าม ผู้ที่เป็นเจ้าของ “นัยน์ตาปีศาจ” นอกจากจะเป็นผู้ที่มีแต่ความทุกข์และจะมีความทุกข์ทรมานเมื่อเห็นผู้อื่นได้ดี แต่จะมีความสุขเมื่อเห็นผู้ใดประสบเคราะห์ ผู้ที่มีบุคลิกดังกล่าวเป็นอันตรายต่อความบริสุทธิ์ของจริยธรรมของคนทั่วไป[10] นี่คือทัศนคติโดยทั่วไปของศาสนายูดายเกี่ยวกับ “นัยน์ตาปีศาจ” ผู้ที่มีความเชื่อในคาบาลาห์หรือตำนานความเชื่อเรื่องลึกลับของยิวเชื่อว่าการใช้ด้ายแดงจะช่วยกันภัยจาก “นัยน์ตาปีศาจ” และกล่าวกันว่าการเห็นด้ายแดงตัดกับสีผิวก็ควรจะเป็นเครื่องเตือนเกี่ยวกับบทเรียนของเรเชล และสนับสนุนให้เราประพฤติตัวในวิถีทางที่จะนำความเปลี่ยนแปลงมาสู่ชีวิตในทางที่ถูกที่ควร
อินเดีย
อินเดีย “นัยน์ตาปีศาจ” ที่เรียกว่า “drishtidosham” (แปลตรงตัวว่า “ตาแช่ง”) หรือ “nazar” เป็นตาที่ถอดจาก “Aarti” กระบวนการถอดก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์แล้วแต่ผู้ถูกถอด ถ้าเป็นการถอด “นัยน์ตาปีศาจ” ของมนุษย์ก็จะมีการทำพิธีไฟศักดิ์สิทธิ์บนถาดตามประเพณีฮินดู โดยการวนถาดหน้าผู้นั้นเพื่อดึงความชั่วร้ายที่เกิดขึ้นออกจากผู้นั้น บางครั้งผู้ถูกแก้มนต์ก็อาจจะต้องถ่มน้ำลายลงบนกองพริกบนถาด แล้วเอาไปโยนเข้ากองไฟ ถ้ามีควันขึ้นมามากผู้นั้นก็จะถูกเย้ยหยันและจะไม่มีใครจ้องด้วยนัยน์ตาปีศาจได้ แต่ถ้าไม่มีควัน ผู้นั้นก็จะปลอดจาก “นัยน์ตาปีศาจ” แต่ถ้าเป็นยานพาหนะก็จะใช้มะนาวแทนพริก โดยให้รถแล่นทับมะนาวจนแตกเละ แล้วเอามะนาวลูกใหม่แขวนไว้กับพริกเพื่อกัน “นัยน์ตาปีศาจ” ที่อาจจะเกิดขึ้นอีกในอนาคต การแขวนดังกล่าวอาจจะพบในร้านค้าหรือบ้านเรือนที่อยู่อาศัย ที่มักจะแขวนกันตรงประตู เจ้าของร้านชาวอินเดียบางคนก็อาจจะเผากระดาษหนังสือพิมพ์แล้วโบกเวียนก่อนที่จะปิดร้านกลับบ้าน
นอกจากตั้นก็อาจจะมีการใช้แป้งสีคุมคุมบนแก้คู่บ่าวสาวหรือเด็กก็เป็นอีกวิธีหนึ่งในการขจัดอำนาจของ “นัยน์ตาปีศาจ” ทารกหรือเด็กโดยทั่วไปจะถือว่ามีความบริสุทธิ์และจะดึงดูด “นัยน์ตาปีศาจ” แม่จึงมักแต้มจุดบนแก้มหรือหน้าผากของเด็กเพื่อให้เป็นตำหนิที่กันจาก “นัยน์ตาปีศาจ” หรืออาจจะผูกสายด้ายสีดำรอบเอวเด็กเพื่อจุดประสงค์เดียวกัน บางครั้งก็อาจจะแขวนห้อยหรือเครื่องรางบนสายคาดเอ็วด้วยก็ได้
อิสลาม
ตามธรรมเนียมมุสลิมบางอย่างถ้าจะมีการเยินยอกัน ผู้ทำการเยินยอก็จะใช้คำว่า “ما شاء الله”(Masha'Allah) ที่แปลว่า “ถ้าเป็นสิ่งพระเจ้าทรงมีพระสงค์” เพื่อกันจากอันตรายของ “นัยน์ตาปีศาจ” ซึ่งหมายความว่าสิ่งที่ดีหรือร้ายที่จะเกิดขึ้นก็ขึ้นอยู่กับพระประสงค์ของพระเจ้า ผู้พูดภาษาดารีในอัฟกานิสถานใช้วลี “Nam-e Khoda” ที่แปลว่า “ในนามของพระเจ้า” แทน “ما شاء الله” หรือ “Chashmi bad dur” ที่แปลว่า “ขอให้ “นัยน์ตาปีศาจ” ไปอยู่ไกลๆ” และในภาษาอูรดู หรือในภาษาทาจิคที่เพี้ยนไปเล็กน้อย
ตุรกี
ดูบทความหลักที่ Evil eye in Turkish Culture

บังกลาเทศ
เด็กในบังกลาเทศมักจะมีจุดดำบนหน้าผากเพื่อกันจากความชั่งร้ายของ “นัยน์ตาปีศาจ” เด็กหญิงที่มักจะได้คำชมว่าสวยมักจะมีจุดดำหลังใบหู เพื่อไม่ให้ใครเห็น
อิหร่านและภูมิภาคเพื่อนบ้าน
อิหร่าน, อิรัก, ทาจิกิสถาน และ อัฟกานิสถานจะเผาต้นฮาร์มาล (Peganum harmala หรือเรียกว่าเอสฟานด์ หรือ เอสพันด์ด้วยถ่าน[11] ที่เมื่อปะทุก็จะโชยควันหอมที่ใช้โบกเหนือศรีษะผู้ที่ต้องสงสัยว่าโดนมนต์ หรือโดนจ้องโดยคนแปลกหน้า จากนั้นก็จะท่องบทสวดมนต์โซโรอัสเตอร์ขจัด “Bla Band” บทสวดมนต์ดังกล่าวท่องโดยทั้งมุสลิมและผู้ถือศาสนาโซโรอัสเตอร์ในบริเวณที่มีการใช้เอสฟานด์ในการขจัดความชั่วร้าย ในอิหร่านบางครั้งก็จะมีการทำพิธีนี้ในภัตตาคาร ที่ลูกค้าอาจจะถูกจ้องโดยคนแปลกหน้า บางครั้งก็จะมีการใช้เอสฟานด์แห้งในบางบริเวณในตุรกี
ทิเบตและภูมิภาคหิมาลัย
ลูกปัดซีของทิเบตในทิเบตและบริเวณใกล้เคียงลูกปัดซี (Dzi bead) ถือกันว่าเป็นเครื่องรางในการขจัดภัยจาก “นัยน์ตาปีศาจ” และเป็นเครื่องรางที่นำโชค ขึ้นอยู่กับลวดลายและจำนวนตา ลูกปัดซีโบราณเป็นลูกปัดที่มีราคาสูงที่สุดเท่าที่ทราบกันมา หินซีเริ่มปรากฏขึ้นราว 2000 ถึง 1000 ปีก่อนคริสต์ศักราชในทิเบตโบราณ กล่าวกันว่าลูกปัดหลาแสนลูกถูกนำกลับมาโดยนักรบทิเบตจากภูมิภาคบัคเทรียเหนือเทือกเขาฮินดูกูชหรือทาจิกิสถานโบราณระหว่างที่ไปทำการปล้นรบ หรือ ต่อมายึดครอง ความกลัวอำนาจของ “นัยน์ตาปีศาจ” เป็นเรื่องที่จริงจังในหมู่ชนทิเบต ซึ่งทำให้เกิดการสร้างเครื่องรางในการป้องกันภัยอันเกิดจากอำนาจของ “นัยน์ตาปีศาจ” ขึ้นที่เป็นรูปตาเช่นกัน ลูกปัดซีสร้างด้วยโมราตกแต่งด้วยเส้นและวงโดยใช้วิธีโบราณอันเป็นเอกลักษณ์ เช่นทำสีให้เข้มขึ้นโดยการใช้น้ำตาลพืช และ ทำให้ร้อนและลอกให้สีอ่อนลง และเส้นตัดสีขาวทำด้วยนาทรอนโบราณ หรือด่างชนิดอื่น บางส่วนก็ทิ้งเอาไว้โดยไม่ก็ใช้ไขมัน, ดินเหนียว, ขี้ผึ้ง หรือ สารประเภทดังกล่าว วิธีการทำในสมัยโบราณได้แต่เพียงสันนิษฐานกันเท่านั้น
ลูกปัดซีมีด้วยกันสองหรือสามชนิด ชนิดหนึ่งมีเส้นของและ “ตา” และที่มีตาตามธรรมชาติของหิน ลูกปัดซีมักจะมีทรงกลมรีแต่ก็มีบ้างที่เป็นรูปเหรียญ
ลาตินอเมริกา
ในเม็กซิโก และ อเมริกากลาง ทารกจะมีอัตราเสี่ยงต่ออันตรายจาก “นัยน์ตาปีศาจ” สูงและมักจะให้ใส่กำไลเครื่องรางเพื่อพิทักษ์ โดยเฉพาะที่มีจุดเหมือนตา วิธีป้องกันอีกวิธีหนึ่งคือให้ผู้ชื่นชมกับเด็กได้จับต้องตัวเด็ก
วิธีรักษาอีกวิธีหนึ่งในเม็กซิโกก็โดย “curandero” (พ่อมด) จะลูบตัวผู้ต้องมนต์ด้วยฟองไข่ไก่ดิบเพื่อกำจัดอำนาจของผู้ที่มีอำนาจในการใช้ “นัยน์ตาปีศาจ” แล้วก็เอาไข่ไก่ไปทุบใส่ชามแก้วเพื่อตรวจสอบรูปร่าง รูปทรงไข่แดงเชื่อกันว่าสามารถบอกได้ว่าผู้มีเวทมนต์เป็นชายหรือหญิง ตามธรรมเนียมฮิสปานิคของทางตะวันตกเฉียงใต้ของสหรัฐอเมริกา และบางส่วนของเม็กซิโก เมื่อลูบตัวเสร็จ ผู้ต้องมนต์ก็จะตอกไข่ในชามน้ำ แล้วคลุมด้วยฟาง เอาไปวางไว้ใต้หัวของคนไข้ขณะที่ยังคงหลับ หรืออาจจะให้ไข่กลับโดยการทำเป็นเครื่องหมายกางเขน จากนั้นก็จะทำการตรวจตราใข่ในชามเพื่อจะดูว่าสำเร็จไปได้แค่ไหนเท่าใด[12]
ในบางส่วนของอเมริกาใต้ การทำ “Ojear” หรือที่แปลว่า “ก่ออันตรายโดยนัยน์ตาปีศาจ” ให้กับเด็ก, สัตว์โดยการจ้อง การกระทำเช่นนี้อาจจะก่อให้เกิดความเจ็บป่วย หรือการใช้งานไม่ได้ถ้าเป็นสิ่งของหรือยานยนตร์ นอกจากนั้นแล้วก็ยังเชื่อกันว่า “การจ้อง” เป็นการกระทำโดยไม่จงใจ ฉะนั้นการป้องกันก็อาจจะทำได้โดยการผูกริบบอนสีแดงกับสัตว์, เด็ก หรือสิ่งของ เพื่อหันเหความสนใจให้ไปจ้องริบบอนแทน
บราซิล
ในบราซิลสิ่งที่คล้ายคลึงกับ “นัยน์ตาปีศาจ” คือ “olho gordo” (แปลง่ายๆ ว่า “ตาโต”) เชื่อกันว่าเมื่อถ้าผู้ใดชมสิ่งของที่เป็นของผู้อื่น เจ้าของก็ควรจะระมัดระวังว่าผู้ชมคือใคร ถ้าการชมเป็นไปด้วยความประสงค์ดีก็จะไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ในทางตรงกันข้ามสิ่งของนั้นก็อาจจะตกไปเป็นของผู้นั้นหรือสูญหายไป ถ้าสิ่งของได้รับความเสียหายในอนาคตก็เชื่อกันว่าเกิดจากการกระทำของผู้ที่มีความอิจฉาผู้กล่าวชมสิ่งของนั้น
สหรัฐอเมริกา
นัยนาของโฮรัสในปี ค.ศ. 1946 นักมายากลเฮนรี กามาชีตีพิมพ์หนังสือชื่อ “Terrors of the Evil Eye Exposed!” (เผยความกลัว “นัยน์ตาปีศาจ”!) ที่บอกวิธีป้องกันตนเองจาก “นัยน์ตาปีศาจ” งานเขียนของกามาชีเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับความเชื่อเรื่อง “นัยน์ตาปีศาจ” แก่นักปฏิบัติวูดูแอฟริกันอเมริกันทางตอนใต้ของสหรัฐอเมริกา
อียิปต์
นัยนาของโฮรัส - โฮรัสเป็นเทพแห่งท้องฟ้าของอียิปต์โบราณที่มาในรูปของเหยี่ยว ตาขวาเป็นสัญลักษณ์ของตาเหยี่ยวและเครื่องหมายรอบตา ที่บางครั้งก็จะรวมทั้งรอยน้ำตาใต้ตา ตาขวาของโฮรัสตามความเชื่อของวัฒนธรรมอียิปต์โบราณเชื่อกันว่ามีอำนาจในการป้องกันอันตรายจาก “นัยน์ตาปีศาจ” ในอียิปต์สมัยใหม่ก็จะใช้เครื่องรางเช่น “มือฮัมซา” ในการป้องกัน
อ้างอิง
^ Rivka Ulmer (1994). KTAV Publishing House, Inc.. ed. The evil eye in the Bible and in rabbinic literature. p. 176. ISBN 0881254630, 9780881254631. http://books.google.com/books?id=cwB8Hfkjpx0C&pg=PA176&dq=egypt+%22evil+eye%22&cd=1#v=onepage&q=egypt%20%22evil%20eye%22&f=false.
^ Frederick Thomas Elworthy. Forgotten Books. ed. The Evil Eye: An Account of this Ancient and Widespread Superstition. p. 5. ISBN 1605065579, 9781605065571. http://books.google.com/books?id=slCv57rekusC&pg=PT15&dq=egypt+%22evil+eye%22&cd=16#v=onepage&q=egypt%20%22evil%20eye%22&f=false.
^ William W. Story (2003). Kessinger Publishing. ed. Castle St. Angelo and the Evil Eye. pp. 149–152. http://books.google.com/books?id=KuGhL9L79jsC&pg=PA149&dq=Socrates+%22evil+eye%22&cd=14#v=onepage&q=Socrates%20%22evil%20eye%22&f=false.
^ Dundes, Edited by Alan (1992), Evil Eye : Folklore Casebook, Madison, Wis.: University of Wisconsin Press, pp. 257–259, ISBN 0299133346
^ [Sahih Muslim, Book 26, Number 5427]USC-MSA Compendium of Muslim Texts
^ Du'a - What to say when in fear of afflicting something or someone with one?s eye
^ Cora Lynn Daniels, et al., eds, Encyclopædia of Superstitions, Folklore, and the Occult Sciences of the World (Volume III), p. 1273, Univ. Press of the Pacific, Honolulu, ISBN 1-4102-0916-4
^ Dracula, Bram Stoker's novel 1897 edition online. page ?
^ Merriam-Webster. Merriam-Webster's Encyclopedia of World Religions. 2000, page 69
^ Chapters of the Fathers, Translation & Commentary by Samson Raphael Hirsch, Feldheim Publishers, ISBN 0 87306 182 9 pg.32
^ Aspand - Espand - Esfand - Esphand Against the Evil Eye in Zoroastrian Magic. สืบค้นวันที่ 2008-01-19
^ http://anthro.palomar.edu/medical/med_1.htm Medical Anthropology: Explanations of Illness
^ http://www.revistatabularasa.org/numero_dos/florez.pdf Franz Flórez: El Mal de Ojo de la Etnografía Clásica y La Limpia Posmoderna.
บรรณานุกรม
Borthwick, E. Kerr (2001) "Socrates, Socratics, and the Word ΒΛΕΠΕΔΑΙΜΩΝ" The Classical Quarterly New Series, 51(1): pp. 297–301
Dickie, Mathew W. (January 1991) "Heliodorus and Plutarch on the Evil Eye" Classical Philology 86(1): pp. 17–29
Dundes, Alan (editor) (1992) The Evil Eye: A Casebook University of Wisconsin Press, Madison, Wisconsin, ISBN 0-299-13334-6; originally published in 1981 by Garland Publishing, New York
Elworthy, Frederick Thomas (1895) The Evil Eye. An Account of this Ancient & Widespread Superstition John Murray, London, OCLC 2079005; reprinted in 2004 as: The Evil Eye: The Classic Account of an Ancient Superstition Dover Publications, Mineola, New York, ISBN 0-486-43437-0 (online text)
Gamache, Henri (1946) Terrors of the Evil Eye Exposed Raymond Publishing, New York, OCLC 9989883; reprinted in 1969 as Protection Against Evil Dorene, Dallas, Texas, OCLC 39132235
Gifford, Edward S. (1958) The Evil Eye: Studies in the Folklore of Vision Macmillan, New York, OCLC 527256
Jones, Louis C. (1951) "The Evil Eye among European-Americans" Western Folklore 10(1): pp. 11–25
Limberis, Vasiliki (April 1991) "The Eyes Infected by Evil: Basil of Caesarea's Homily" The Harvard Theological Review 84(2): pp. 163–184
Lykiardopoulos, Amica (1981) "The Evil Eye: Towards an Exhaustive Study" Folklore 92(2): pp. 221-230
Maloney, Clarence (editor) (1976) The Evil Eye Columbia University Press, New York, ISBN 0-231-04006-7; outgrowth of a symposium on the evil eye belief held at the 1972 meeting of the American Anthropological Association
Meerloo, Joost Abraham Maurits (1971) Intuition and the Evil Eye: The Natural History of a Superstition Servire, Wassenaar, Netherlands, OCLC 415660
Slone, Kathleen Warner and Dickie, M. W. (1993) "A Knidian Phallic Vase from Corinth" Hesperia 62(4): pp. 483–505
Ulmer, Rivka (1994) The Evil Eye in the Bible and in Rabbinic Literature KTAV Publishing House, Hoboken, New Jersey, ISBN 0-88125-463-0
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น